ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

ปิดฉากประชุมวิชาการปัญหาพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ชงใช้มาตรการภาษี คุมอาหารเครื่องดื่มไม่มีคุณค่า ลดโรคอ้วน โรคไม่ติดต่อได้ผล ชี้ฉลากอาหารแบบใหม่แสดงค่าความเข้าใจต่ำกว่าแบบสัญญาณไฟสีจราจร เร่งรัฐคุมโฆษณาในขนม อาหารเด็ก ด้านนักวิชาการ เร่งศึกษาเก็บภาษีเครื่องดื่มรสหวาน

วานนี้(17ม.ค.) การประชุมประจำปีครั้งที่ 1 เรื่อง"การจัดการปัญหาพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน:ประเทศไทยพร้อมหรือยัง" จัดโดย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) แผนงานวิจัยอาหารและโภชนาการเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (FHP) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นพ.ทักษพล ธรรมรังสี รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณสุขระหว่างประเทศ กล่าวว่า ผลจากการประชุมมีประเด็นที่น่าสนใจ สามารถนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และนำมาทบทวนมาตรการของประเทศไทยต่อไปได้ คือ 1.มาตรการทางภาษี พบว่า ในหลายประเทศมีการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อจัดการอาหารที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีหลักฐานการวิจัยชัดเจนว่าสามารถลดปัญหาโภชนาการเกินได้ แต่จำเป็นต้องศึกษาผลกระทบและทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน เพื่อนำข้อมูลไปผลักดันและพัฒนานโยบายต่อไป

ส่วนมาตรการที่2.เรื่องฉลากอาหาร มีการนำเสนอผลจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฉลากเป็นแบบแสดงค่าพลังงาน ไขมัน น้ำตาล และ โซเดียม หรือGDA โดยพบว่า ร้อยละ42 ของผู้บริโภคยังไม่ค่อยเข้าใจในการอ่านฉลากอาหาร เมื่อเทียบกับการใช้ฉลากแบบสีสัญญาณไฟจราจรจะ เพิ่มความเข้าใจได้มากถึงร้อยละ80 ดังนั้น จึงควรมีการพัฒนารูปแบบฉลากให้เข้าใจ ได้อย่างง่ายในการตัดสินใจเรื่องอาหาร และมาตารการที่3 เรื่องการตลาด พบว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีลักษณะเป็นกลุ่มบริษัทที่เป็นเครือข่าย มีเป้าหมายคือกำไร โดยการใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดทุกรูปแบบ เพื่อเข้าถึงเด็กและเยาวชน จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐว่า ต้องคำนึงถึงการควบคุมการใช้สื่อโฆษณาในสินค้าที่อาจมีผลต่อสุขภาพในเด็ก

ด้านทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ นักวิจัยเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายประเทศทั่วโลกใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้าประเภทเครื่องดื่มผสมน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม โซดา ชา กาแฟ น้ำผักผลไม้ ฯลฯ เพื่อควบคุมปัญหาภาวะโภชนาการเกิน โดยนำภาษีที่ได้ไปแก้ปัญหาโรคที่เกิดจากโภชนาการเกิน ทั้งโรคอ้วน ความดัน หัวใจ เบาหวาน มะเร็ง โดยสร้างภาระทางด้านค่าใช้จ่ายสาธารณสุขอย่างมาก

สำหรับประเทศไทย เครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์มีราคาต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ 17 ประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ และศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ เพื่อหารูปแบบการจัดเก็บภาษี และสร้างความเข้าใจต่อสังคม

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 18 มกราคม 2556