ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คมชัดลึก - เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวเรื่อง "การรณรงค์การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในเด็ก : Antibiotics Smart Use in Children (ASU KIDs )" เนื่องในวัน Antibiotic Awareness Day ซึ่งตรงกับวันที่ 18 พฤศจิกายนของทุกปีว่า สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือโรงพยาบาลเด็ก สังกัดกรมการแพทย์ ได้ศึกษาวิจัยโดยติดตามประเมินผลการรักษาผู้ป่วยเด็กที่ผู้ปกครองพามารักษาด้วยอาการไข้หวัด-เจ็บคอและท้องเสีย จำนวน 400 ราย เดือนสิงหาคม-15 พฤศจิกายน 2556 ตามอาการโดยไม่จ่ายยาปฏิชีวนะให้ผู้ป่วย ปรากฏว่า ผู้ป่วยเด็กมีอาการดีขึ้น ภายใน 3 วัน 91.5% มีอัตราการหายใกล้เคียงกันในกลุ่มที่ได้รับยาและไม่ได้รับยาปฏิชีวนะ คือเกินกว่า 90% ส่วนผู้ป่วยท้องเสียอาการดีขึ้นใน 3 วัน 86.9% โดยผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะมีอัตราการหายอยู่ที่ 87% สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับยาซึ่งอยู่ที่ 81%

"ผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไข้หวัด-เจ็บคอ พบบ่อยในเด็ก 2-5 ปีเป็นโรคที่หายเองได้โดยภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กรับประทานยามากเกินไป โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถรักษาไข้หวัด-เจ็บคอที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้ และยังเป็นอันตรายอาจทำให้เด็กแพ้ยาเพิ่มความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ในเด็ก ที่สำคัญคืออาจเหนี่ยวนำให้เด็กเกิดเชื้อดื้อยากระทบต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้" นพ.สุพรรณ กล่าว

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผู้แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมปัญหาการดื้อยาจึงควรปฏิบัติใน 3 มาตรการ คือ ควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีจำเป็นเท่านั้น 2.ควรกินยาปฏิชีวนะให้ครบขนาดตามที่แพทย์สั่งและ 3.ใช้อย่างสมเหตุสมผลไม่ใช้ยาปฏิชีวนะแรงเกินไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก  วันที่ 19 พฤศจิกายน 2556