ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รมว.สธ. เร่งให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก บูรณาการทำงานเร่งพัฒนายาสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานสากล ส่งขายได้ทั่วโลก  ฃเพิ่มความนิยม ทำให้ติดตลาดใช้เป็นยาสามัญประจำบ้านก่อนไปหาหมอ พร้อมสนับสนุนให้มีการปลูกสมุนไพรเป็นพืชเศรษฐกิจ สร้างรายได้ประชาชน เผยปัจจุบันประมาณ 61% ของ รพ.มีบริการแพทย์แผนไทยและทางเลือกในแผนกผู้ป่วยที่ คาดปี 61 ครบทุกแห่งทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและคณะตรวจเยี่ยมกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก รับฟังผลการดำเนินงาน และมอบนโยบายการทำงาน

นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ได้ให้กรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเร่งทำงานหลายเรื่อง ได้แก่การพัฒนาคุณภาพยาสมุนไพรไทย ให้ได้มาตรฐานสากล วางแผนในการปลูกสมุนไพร ให้เป็นพืชเศรษฐกิจเป็นการสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้ประชาชนและนำไปผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ให้ได้มาตรฐานสากล ต้องพัฒนาทำให้เป็นที่นิยมติดตลาด เช่นทำให้กินง่าย สะดวกขึ้น  ให้ประชาชนไทยใช้เป็นยาสามัญประจำบ้าน หรือรับประทานยาไทยก่อนไปหาหมอ เช่น ขมิ้นชัน ซึ่งใช้เป็นยาแก้ท้องอืด หรือ ฟ้าทะลายโจร เป็นยาลดไข้ และส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้ รวมทั้งให้บูรณาการทำงานระหว่างกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก  กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการขึ้นทะเบียนตำรับยาไทย สมุนไพร ให้รวดเร็ว

นพ.ปิยะสกล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้สนันสนุนให้ศึกษาวิจัยการแพทย์แผนไทย และสมุนไพรไทยให้สามารถนำมาใช้ได้ปีละ 1 – 2 เรื่อง โดยเฉพาะสารสกัดจากสมุนไพร เพื่อใช้เป็นยาใหม่ ใช้รักษาโรค สำหรับการจัดบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ขณะนี้ได้เปิดบริการตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกคู่ขนานกับแพทย์แผนปัจจุบันในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชน ครอบคลุมร้อยละ 61 คาดในปี 2561 จะครบทุกแห่งทั่วประเทศ  ผลดำเนินการในปี 2558 มีผู้ใช้บริการ 30 ล้านครั้งคิดเป็นร้อยละ 15 ของการใช้บริการทั้งหมด ต้นทุนบริการแพทย์แผนไทย 60 บาทขณะที่ต้นทุนแพทย์แผนปัจจุบัน 600 บาท  โดยให้มีการศึกษาภาคคลินิกเปรียบเทียบระหว่างการรักษาทางแผนไทยและแผนปัจจุบัน เพิ่มความเชื่อมั่นประชาชน พัฒนาให้มีการรักษาควบคู่กัน จะสร้างประสิทธิภาพให้แก่ระบบการแพทย์ไทยยิ่งขึ้น