ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

โบรกฯส่งสัญญาณหุ้น "โรงพยาบาลเอกชน" เข้าแดนเสี่ยง ปัจจัยรุมเร้าทั้งเศรษฐกิจชะลอ-คนไข้ต่างชาติผวาเหตุระเบิด-หุ้นมีพี/อีสูง ชี้ทางออกลงทุนกลุ่มสื่อสารพลังงาน ลดเสี่ยง

นสพ.ประชาชาติธุรกิจ : รายงานข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า นับตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน (9 ก.ย. 58) ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มการแพทย์ (HELTH) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "หุ้นหลบภัย" ของนักลงทุน ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 23.68% สูงสุด เมื่อเทียบกับทุกอุตสาหกรรม และสวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ที่ ดิ่งลงกว่า 6.77% สะท้อนว่านักลงทุน ให้ความสนใจกับหุ้นในกลุ่มนี้อย่างมาก

นายกวี มานิตสุภวงษ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของ โรงพยาบาลในช่วงที่เหลือของปี 2558 นี้ ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับผลกระทบจากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงก่อนหน้านี้ อาจส่งผลให้ผู้ป่วยชาวต่างชาติจำนวนมาก ชะลอการเดินทางมารักษาในประเทศไทย

โดยปัจจุบันโรงพยาบาลที่มีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติสูงมี 2 แห่ง คือ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ 66% และ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) 30%

นายกวี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การใช้เงินลงทุนสำหรับขยายโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง และการปรับปรุงพื้นที่สาขาเดิมเพื่อให้รองรับจำนวนผู้ป่วยของหลายโรงพยาบาลในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้โรงพยาบาลบางแห่งยังมีผลขาดทุนอยู่ เพราะใช้เวลาคืนทุนเฉลี่ย 3 ปีขึ้นไป ทำให้คาดว่าปีหน้า อาจเห็นการเติบโตที่ไม่ได้มากเท่าไหร่นัก

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ราคาหุ้นโรงพยาบาล พบว่า บางตัวราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนเชื่อว่าเงินต้นที่นำไปลงทุนจะปลอดภัยจากภาวะตลาดหุ้นผันผวน และช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้น-ลงน้อยกว่าดัชนีตลาดหุ้น (Defensive Stock) และเป็นธุรกิจที่รายได้ขยายตัวต่อเนื่อง ตามโครงสร้างทางประชากรที่เข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัย

"แม้จะเป็นหุ้น Defensive แต่ถ้าราคาสูงมากก็ถือว่ามีความเสี่ยง ดังนั้น นักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นลักษณะนี้ในพอร์ตก็อาจจะต้องวิเคราะห์ก่อนลงทุน เพราะหุ้นที่ P/E วิ่งไปมากกว่า 40 เท่า ได้ส่งสัญญาณการรับข่าวบวกต่างๆ ไปแล้วพอควร ส่วนนักลงทุนที่ถือมานานแล้ว สามารถถือต่อไปได้ เพราะระยะยาวธุรกิจนี้ก็ยังคงเติบโต"

สำหรับหุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) แนะนำให้ "ขาย" เนื่องจากประเมินว่า กำไรสุทธิปี 2559 จะขยายตัวได้เล็กน้อย โดยอยู่ที่ระดับ 3.84 พันล้านบาท จากปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 3.76 พันล้านบาท ส่วน บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) แนะนำ "ถือ" ประเมินกำไรสุทธิปีหน้าที่ 8.9 พันล้านบาท จากปีนี้ 7.7 พันล้านบาท

นายธนเดช กล่าวว่า นักลงทุนควรวิเคราะห์หุ้นกลุ่มอื่น เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดเพิ่มเติม เพราะขณะนี้ราคาหุ้นบางตัวในกลุ่มโรงพยาบาลได้ปรับตัวขึ้นไปจนอยู่ในระดับค่อนข้างแพง และมีราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) สูง ซึ่งอาจไม่เหมาะต่อการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยงนัก

นายเจษฎา สุขทิศ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) อินฟินิติ้ (INFINITY Global Investors) ทำธุรกิจด้านการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคลด้วยการจัดพอร์ตลงทุนเชิงรุกกล่าวว่า สำหรับหุ้น Defensive ที่น่าสนใจนอกเหนือจากหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ หุ้นกลุ่มสื่อสาร เช่น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งการจ่ายเงินปันผลทั้ง 100% ของกำไรสุทธิ และมีประเด็นสนับสนุนจากการประมูลคลื่น 3G และคลื่น 1800 รวมถึงจุดแข็งจากฐานผู้ใช้จำนวนมาก

นอกจากนี้ แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม โรงไฟฟ้า (ดูตาราง) ได้แก่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) เนื่องจากให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูง 3-5% อีกทั้ง ยังได้ประโยชน์จากโครงการไฟฟ้าต่าง ๆ ที่จะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เป็นต้น

ที่มา : นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 - 16 ก.ย. 2558