ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข รายงานผลการสำรวจการปฏิบัติตามมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งล่าสุดวันที่ 8 เม.ย. 2563 พบว่าจำนวนผู้ที่ออกนอกบ้านมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 36.9% ในวันที่ 7 เม.ย. เป็น 50% ขณะที่สัดส่วนผู้ที่อยู่บ้าน (ไม่มีคนมาหา) ลดลงจาก 50.8% ในวันที่ 7 เม.ย. เหลือเพียง 38% ส่วนผู้ที่อยู่บ้านแต่มีคนมาหามีสัดส่วนอยู่ที่ 12 % ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า

ทำแบบสอบถามทุกวันได้ ทีนี่

โดยหากพิจารณาตัวเลขเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 2-8 เม.ย. 2563 จะพบแนวโน้มดังนี้

จะเห็นได้ว่าสัดส่วนผู้ที่ออกนอกบ้านเพิ่มสูงขึ้นในระดับเดียวกับวันที่ 2 และ 3 เม.ย. ซึ่งเริ่มประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านตั้งแตา 22.00 น. - 04.00 น.

ทั้งนี้ หากพิจารณาสาเหตุที่ทำให้ผู้คนต้องออกจากบ้านในวันที่ 8 เม.ย. พบว่าจำนวนผู้ที่ต้องออกไปทำงานเพิ่มขึ้นจาก 36.4% เป็น 73.1% และอีก 36.5% ออกจากบ้านด้วยเหตุจำเป็นอื่น เช่น ซื้ออาหาร-ของใช้ ทำธุรกรรม โดยใช้บริการขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 4.9% เป็น 13.7% โดยได้พูดคุยหรืออยู่ใกล้กับคนนอกบ้านน้อยกว่า 2 เมตรเฉลี่ยอยู่ที่ 8 คน ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากวันที่ 7 เม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 5 คน

สำหรับวิธีการป้องกันตนเองของผู้ที่ออกจากบ้าน มีสัดส่วนการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ดังนี้

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเว้นระยะห่าง 1-2 เมตรเมื่อคุยกับผู้อื่น มีมีแนวโน้มลงมาก จากระดับ 70% ลงมาที่ประมาณ66 % และล่าสุดเหลือเพียง 58.8 % ส่วนการระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปากก็มีสัดส่วนการปฏิบัติที่น้อยลงเล็กน้อย จาก61.1 % เหลือ 59.2%

นอกจากนี้ สัดส่วนผู้ที่ไปสถานที่เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ในรอบ 14 วันที่ผ่านมามีแนวโน้มคงที่อยู่ที่ 27.7% และสัดส่วนผู้ที่จะกักตัว 14 วันและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนในบ้านหากคิดว่าตนเองมีความเสี่ยงอยู่ที่ 89.7 %