ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ออกจดหมายเปิดผนึกถึง นายกรัฐมนตรี ค้านตัดงบบัตรทองและงบสาธารณสุข ชี้เป็นสวัสดิการแห่งรัฐ ผิดหลักการโอนงบ จะทำให้ประชาชนและโรงพยาบาลเดือดร้อน จี้ยกเลิกการตัดงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2,400 ล้านบาทและงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ทำจดหมายเปิดผนึกค้านการตัดงบบัตรทองและงบสาธารณสุข ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข, คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า

ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมาได้เห็นชอบผลการพิจารณาโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งจะนำมาจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ในกรอบวงเงิน 100,395 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือเยียวยา และบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และปัญหาภัยพิบัติ ภัยแล้ง อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รวมทั้งกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นอื่นนั้น ปรากฏว่า ในรายละเอียดของงบประมาณที่จะโอนมาอยู่ในร่าง พ.ร.บ.โอนงบฯดังกล่าวได้มีมติเห็นชอบตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรืองบ “บัตรทอง” จำนวน 2,400 ล้านบาทและงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาทนั้น

พวกเรา กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เป็นประชาชนที่รวมตัวกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดรัฐสวัสดิการและมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความยั่งยืนมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ขอคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยเฉพาะการตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ งบบัตรทอง และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ งบบัตรทอง จำนวน 2,400 ล้านบาทคือเงินในส่วนที่เรียกว่า ค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 49 ล้านคน ถือเป็นงบกองทุนรักษาพยาบาล เป็นลักษณะรายจ่ายประจำที่เป็นไปเพื่อการจัดสวัสดิการแห่งรัฐ หรือค่าใช้จ่ายรายหัวตามสิทธิพื้นฐานจากการบริการของรัฐที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน อันเป็นหลักการสำคัญที่จะไม่นำงบประมาณรายจ่ายส่วนนี้ไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย ขณะที่งบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท งบลงทุนซ่อม-สร้างอาคาร ห้องพักผู้ป่วย ห้องพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ไม่ใช่งบประมาณค่าใช้จ่ายในการสัมมนา การฝึกอบรม การประชาสัมพันธ์ การจ้างที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ หรืองบบริหาร ซึ่งหากมีการดึงงบประมาณส่วนนี้ไป ย่อมส่งผลกระทบกับโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศและคุณภาพในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยรวม

2. ภายใต้วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโครานาสายพันธุ์ใหม่นี้ อาจดูเหมือนว่า ประชาชนมารับการรักษาพยาบาลตามหน่วยบริการต่างๆ น้อยลง แต่นั่นเป็นเพราะประชาชนได้รับคำแนะนำให้ชะลอการเข้ามารับการรักษาพยาบาล อีกทั้งโรงพยาบาลต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดความแออัดของหน่วยบริการเพื่อให้รองรับกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ภาระโรค หรือภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประชาชนจะลดน้อยลงไป หากงบประมาณด้านรักษาพยาบาลถูกปรับลดลง จะสร้างภาระด้านการเงิน เพิ่มภาระการบริหารจัดการภายใน จะส่งผลต่อภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลประชาชนในภาพรวมอย่างแน่นอน ดังนั้น แม้คณะรัฐมนตรีจะเตรียมงบประมาณสนับสนุนการรักษาพยาบาลโควิด-19 ก็ไม่พึงตัดลบงบประมาณกองทุนบัตรทองและค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ

ดังนั้น พวกเราในนามกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ขอเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีทบทวนรายละเอียดดังกล่าว โดยยกเลิกการตัดงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2,400 ล้านบาทและงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาทไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย และขอให้การใช้จ่ายงบประมาณต่างๆ ตาม พ.ร.บ.โอนเงินฯ และ พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับเป็นไปอย่างเปิดเผยโปร่งใส เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนในภาวะวิกฤติก็ตาม

จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาทบทวน

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ 23 เม.ย. 63