ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วิทยาลัยสาธารณสุข John Hopkins Bloomberg (John Hopkins Bloomberg School of Public Health) ประจำมหาวิทยาลัย John Hopkins สหรัฐอเมริกา ได้ออกรายงานเรื่องหลักการขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุข สำหรับระยะกลับมา “เปิดเมือง” ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 : คำแนะนำสำหรับผู้ว่าการรัฐฯ หรือ Public Health Principles for a Phased Reopening During COVID-19: Guidance for Governors เพื่อให้ผู้ว่าการรัฐทั้ง 50 รัฐ ประเมินความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสในสถานที่-ธุรกิจต่างๆ ในระยะของการกลับมา “เปิดทำการ” อีกครั้ง และประเมินมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงของผู้ให้บริการ พนักงาน และลูกค้า

ทั้งนี้ ในรายงาน ได้ระบุถึง 2 ข้อหลัก ในการประเมิน ได้แก่ 1.ความน่าจะเป็นของการแพร่เชื้อ และ 2.ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

สำหรับรายงานดังกล่าว ได้แบ่งพื้นที่ที่มีระดับความเสี่ยงออกเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจที่ไม่จำเป็น 2.โรงเรียนและสถานเลี้ยงเด็ก 3.พื้นที่โล่งแจ้ง 4.พื้นที่รวมตัวกันในชุมชน 5.ระบบขนส่ง 6.การชุมนุม-รวมตัวกลุ่มใหญ่ และ 7.การรวมตัวกลุ่มเล็ก

โดยแบ่งกรอบการประเมิน 3 ด้าน คือ 1.ความเข้มข้นของการสัมผัส 2.จำนวนผู้สัมผัส และ 3.ระดับความสามารถในการลดความเสี่ยงเมื่อปรับปรุงและใช้มาตรการต่างๆ แล้ว

สวนสาธารณะเสี่ยงน้อย - งานแต่งงาน เลี่ยงอีกยาว

สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดต่อการแพร่เชื้อของโรคโควิด - 19 ตามรายงานฉบับนี้ ได้แก่สวนสาธารณะ ลู่เดิน - วิ่งสำหรับออกกำลังกายในสวน และสวนสำหรับสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นพื้นที่เปิด สามารถระบายอากาศได้ และในพื้นที่ “เอาท์ดอร์” นั้น ผู้คนมักจะเว้นระยะห่างออกจากกัน มากกว่าในพื้นที่ปิด

สำหรับโรงเรียน ทั้งในระดับอนุบาล ระดับประถม และมัธยม ถือว่ามีความเสี่ยงสูง, สถานรับเลี้ยงเด็ก และมหาวิทยาลัย ถือว่ามีความเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันในทางการแพทย์อยู่ว่า แท้จริงแล้ว โควิด – 19 ในเด็กนั้น “อันตราย” แค่ไหน เพราะข้อเท็จจริงก็คือ ในสหรัฐฯ มีเด็กติดโควิด – 19 ในอัตราต่ำกว่า 2% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด และใน 2% มีเพียง 5.7 – 20% เท่านั้น ที่มีอาการหนัก ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล นอกจากนี้ เด็กที่ต้องแอดมิท เข้าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ ล้วนมีอายุน้อยกว่า 1 ขวบ

สิ่งที่น่ากลัวกว่าในเรื่องนี้ ก็คือ ความสามารถของเด็กในการเป็น “ตัวกลาง” แพร่เชื้อ ไปยังผู้ใหญ่ ซึ่งยังไม่มีตัวเลขชัดเจน โดยในโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น “ไข้หวัดใหญ่” นั้น เด็ก ถือเป็นตัวกลาง ในการส่งผ่านโรคติดต่อไปยังผู้ใหญ่ และการปิดโรงเรียน ทำให้อัตราการป่วยไข้หวัดใหญ่ ลดลงอย่างชัดเจน

เพราะฉะนั้น รายงานฉบับนี้ จึงแนะนำให้ผู้ว่าการแต่ละมลรัฐ ร่วมกันทำงานกับหน่วยงานสาธารณสุข เพื่อประเมินความเสี่ยง บนพื้นฐานข้อมูลจริง และรับฟังความคิดเห็นทั้งโรงเรียน – ผู้ปกครอง และชุมชน ให้ชัด ก่อนจะตัดสินใจเปิดโรงเรียน

ส่วนพื้นที่สาธารณะในชุมชนนั้น ข้อแนะนำของ John Hopkins คือ ยังมีความเสี่ยง โดยที่เสี่ยงที่สุด ได้แก่สถานที่สำคัญทางศาสนา ซึ่งควรจะมีการจำกัดจำนวนผู้ที่เข้าไปในสถานที่เหล่านี้ ให้สามารถเว้นระยะห่างได้

สำหรับห้างสรรพสินค้านั้น ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ หากสามารถรักษาระยะห่างของผู้ที่ใช้บริการ ไม่ให้หนาแน่นเกินไป และสามารถรักษาระยะห่างได้

ขณะที่ “ระบบขนส่งมวลชน” นั้น ถือว่ามีโอกาสเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นรถประจำทาง รถไฟใต้ดิน รถไฟ เครื่องบิน หรือแท็กซี่ เพราะฉะนั้น รัฐควรเข้ามาจัดการ – ติดตามอย่างใกล้ชิด มิเช่นนั้น ระบบขนส่งสาธารณะเหล่านี้ จะมีโอกาสสูงอย่างยิ่ง ในการแพร่เชื้อ

อีกสิ่งหนึ่งที่รายงานฉบับนี้ไม่แนะนำ คือการจัดงานที่มีการรวมตัวผู้คนจำนวนมาก โดยขณะนี้ให้ยึดถือ “ไกด์ไลน์” ของทำเนียบขาวไปก่อน คือให้ “แบน” การจัดงาน ที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมเกินกว่า 10 คนไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งกีฬา, การเข้าคลาสออกกำลังกาย, การชุมนุมทางศาสนา, การประชุมสัมมนา, คอนเสิร์ต หรือการชุมนุมทางการเมือง

สำหรับการจัดงานเลี้ยงฉลองไม่ว่าจะงานขนาดเล็ก เช่น งานวันเกิด หรืองานฉลองในโอกาสสำคัญ หรืองานสเกลที่ใหญ่ขึ้น เช่น งานแต่งงาน หรืองานศพ นั้น รายงานฉบับนี้ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงออกไปก่อนเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะมีการรวมตัวคนจำนวนมาก และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะมีการสัมผัสทางกาย หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่กระขายของเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 มากขึ้น

เปิด 4 เกณฑ์หลัก สนับสนุน “เปิดเมือง

ทั้งนี้ ข้อสรุปที่ผู้ว่าการรัฐพึงประเมิน ในระยะเตรียม “เปิดเมือง” ก็คือ

1.ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 14 วัน

2.การ “เทสต์” สามารถทำได้อย่างเพียงพอ และไม่ได้เทสต์เฉพาะผู้ที่มีอาการเท่านั้น แต่สามารถลงลึก ตรวจหาเจอไปถึงผู้ที่มีอาการป่วยเล็กน้อย ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด และผู้ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับผู้ป่วย

3.ระบบสาธารณสุข มีความสามารถในการรองรับผู้ป่วยทุกคน มีชุด PPE และอุปกรณ์ป้องกันตัวที่เพียงพอสำหรับบุคลากรสาธารณสุข

และ 4.ระบบสาธารณสุข ยังสามารถทำหน้าที่ตรวจหาเส้นทางการติดเชื้อ – เส้นทางการระบาด หรือ Contact Tracing สำหรับเคสใหม่ๆ ทุกเคสได้

โดยควรจะมีการ “รีวิว” แผนการเปิดเมืองทุก 2-3 สัปดาห์ โดยประชุมร่วมกันระหว่างรัฐบาลท้องถิ่น และหน่วยงานด้านสาธารณสุข โดยพิจารณาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นแต่ละวัน, จำนวนผู้ป่วยที่ยังรักษาในโรงพยาบาล, จำนวนผู้เสียชีวิต และขีดความสามารถในการติดตามตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย โดยหากตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่ม ก็สามารถสั่งปิดกิจการที่มีความเสี่ยงได้ทันที

นอกจากนี้ ผู้ว่าการรัฐ ควรจะรวมกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นักธุรกิจ ชุมชน และสื่อสารระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าใจมาตรการ ขีดความสามารถของรัฐในการจัดการ และความท้าทายของแต่ละชุมชน

ขณะเดียวกัน การรณรงค์เพื่อให้ทำงานที่บ้าน หรือทำงานทางไกล ยังต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการลดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม จะลดความเสี่ยงในการติดต่อของโรคต่อไป เพราะฉะนั้น รัฐ ควรสนับสนุนการทำงานทางไกลมากขึ้น และภาคธุรกิจ ก็ควรปรับนโยบายเพื่อหใพนักงานสามารถทำงานที่บ้าน - ทำงานทางไกล ด้วยเช่นกัน เพื่อลดทั้งการเดินทาง และลดการรวมตัวกันของผู้คนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นต้องออกไปทำงาน หรือออกจากบ้าน ควรต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่น

ควรเริ่มเปิดจากอะไรก่อน?

รายงานฉบับนี้ เสนอแนะให้เปิดสวน และกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำที่สุดเป็นอันดับแรก โดยมีข้อแม้ว่า ยังต้องเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 2 เมตร และการสวมหน้ากาก เป็นสิ่งที่ “ต้องทำ”

หลังจากนั้น จึงตามมาด้วยการเปิดภาคธุรกิจ - การค้า ที่มีความหนาแน่นต่ำ โดยต้องสร้างแนวทางใหม่ เพื่อให้เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลให้ได้มากที่สุด

ความท้าทายอีกอย่างคือ “ระบบขนส่งสาธารณะ” ซึ่งรายงานของ John Hopkins ระบุว่า ควรจัดการเว้นระยะห่างระหว่างผู้โดยสารให้ได้มากที่สุด และให้รถบัส รถไฟ รถไฟฟ้า แต่ละคัน มีจำนวนผู้โดยสารให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยง

สำหรับโรงเรียน – สถานเลี้ยงเด็ก นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ว่าการรัฐ และฝ่ายสาธารณสุข ควรทำหน้าที่ประเมินร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพราะยังคงมีข้อถกเถียงเรื่องความสามารถในการติดต่อ และแพร่เชื้อของโรคนี้ในเด็ก

แปลและเรียบเรียงโดย สุภชาติ เล็บนาค