ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกคำแนะนำการตรวจทางห้องปฏิบัติการสำหรับไวรัสโควิดฉบับล่าสุด ทั้งสิ่งส่งตรวจ การเก็บ วิธีการรายงานผลการตรวจหาสารพันธุกรรม ปรับปรุงคำแนะนำ ปรับปรุงการค้นหาเชิงรุก ฯลฯ

ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อโควิด-19 มีทั้งการตรวจหาสารพันธุกรรม RT-PCR และการตรวจด้วยชุด ATK ที่แบบประชาชนใช้เอง (Home Use) และแบบบุคลากรทางการแพทย์ใช้ (Professional use) ซึ่งในส่วนของการส่งตรวจ หรือการตรวจยืนยันเชื้อผ่านทางห้องปฏิบัติการนั้น ล่าสุดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ออกคำแนะนำฉบับใหม่

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์   อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ให้ข้อมูลถึงคำแนะนำดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา ว่า เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงและเทคโนโลยีในการตรวจหาเชื้อมีการปรับปรุงตลอด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ออกแนวทางคำแนะนำการตรวจทางห้องปฏิบัติการสำหรับไวรัสโควิดฉบับล่าสุด 

โดยคำแนะนำที่เปลี่ยนจากเดิม  ดังนี้ 

1.สิ่งส่งตรวจที่เหมาะสมกับการตรวจสารพันธุกรรม คือ การเก็บตัวอย่างจากหลังโพรงจมูก หรือน้ำลาย ส่วนสิ่งส่งตรวจที่เหมาะสมกับการตรวจหาแอนติเจน กรณีชุดตรวจแบบ Professional Use คือ ตัวอย่างหลังโพรงจมูก กรณี Home Use เก็บตัวอย่างจากโพรงจมูกด้านหน้าหรือน้ำลาย แต่ควรเก็บน้ำลายตอนเช้าหลังตื่นนอน เพราะเชื้อจะสะสม เก็บโดยการขากเอาน้ำลายส่วนลึกของลำคอออกมาด้วย งดแปรงฟัน หรือใช้น้ำยาบ้วนปาก งดอาหาร ยาอม ของขบเคี้ยว อย่างน้อย 30-60 นาที ส่วนกรณีเด็กควรดูไม้สวอปที่เหมาะสม ไม่แข็งมาก เพราะจมูกเด็กบอบบาง หรือใช้เก็บน้ำลายก็จะช่วยลดอันตรายจากการแยงจมูก

2.การตรวจยืนยัน ซึ่งข้อกำหนดคือ ต้องตรวจหาสารพันธุกรรมได้ขั้นต่ำไม่เกิน 1,000 copies/ml ซึ่งที่ผ่านมามีเพียง RT-PCR ที่ผ่านเกณฑ์ เราจึงใช้เป็นวิธีหลัก แต่ขณะนี้มีเทคโนโลยีอื่น คือ LAMP และ CRISPR ซึ่งเดิมตรวจได้ไม่เกิน 4,000 copies/ml ถือว่าความไวไม่พอ แต่ก็ระบุว่าสามารถได้ต่ำกว่า 1,000 copies/ml ก็สามารถใช้ได้ แต่จะต้องตรวจ 2 ตำแหน่งได้ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันผล ซึ่งการตรวจเหล่านี้ถือว่าเป็นเครื่องมือแพทย์ ก็ต้องไปยื่นกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่ามีคุณสมบัติ เราจะยอมให้เป็นการตรวจยืนยันอีกวิธีนอกจาก RT-PCR

3.การตรวจ ATK ในผู้สัมผัสโรค หากผลเป็นบวก ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ไม่มีความเสี่ยงอาการรุนแรง ให้เข้าระบบ HI CI หรือรักษาแบบ OPD หากมีอาการหรือความเสี่ยงอาการรุนแรง จะตรวจสารพันธุกรรม เพื่อส่งรักษาต่อใน รพ. หากผลลบ ไม่มีอาการก็ทำการกักตัวเอง ตรวจ ATK ซ้ำทุก 3 วันหรือมีอาการ

4.การคัดกรองด่านระหว่างประเทศยังใช้ RT-PCR เป็นหลัก แต่อาจพิจารณาใช้การตรวจหาแอนติเจนด้วยเครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติ (Machine based assay : MBA) หรือตรวจสารพันธุกรรมที่ตรวจตัวอย่างได้ครั้งละมากๆ และใช้เวลาตรวจไม่นานมาใช้ได้ แต่ตรงนี้ขึ้นกับฝ่ายนโยบายพิจารณาจะนำมาใช้หรือไม่ โดย 1 เครื่องตรวจได้ 200 เทสต์ต่อชั่วโมง

(ข่าวเกี่ยวข้อง : ไทยพบโอมิครอนสายพันธุ์ “BA.2” ครองส่วนใหญ่ของประเทศ ย้ำยาฟาวิฯ ยังรักษาได้

 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org