ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต เผยกรณีเหตุการณ์จ่าสิบเอกกราดยิง! ไม่ใช่การเลียนแบบความรุนแรงกรณีก่อนหน้านี้ เพราะไม่ใช่เหตุการณ์ต่อเนื่อง แต่เป็นปัจจัยในกลุ่มที่เข้าถึงอาวุธง่าย แนะวิธีการป้องกัน และให้มีจิตแพทย์ปรึกษาในคนเปราะบาง ชี้เคสนี้เป็นบทเรียนสำคัญให้องค์กรทบทวนตนเอง  อย่ามองเป็นการตีตราสายอาชีพ แต่ให้มองว่าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นได้ และมีช่องว่างในระบบที่สามารถทำให้ดีขึ้น 

เมื่อวันที่ 14 กันยายน ที่กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีจ่าสิบเอก กราดยิงเพื่อนร่วมงานจนเสียชีวิตในวิทยาลัยการทัพบก กรมยุทธศึกษาทหารบก ว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ตนมองว่าไม่ได้เกิดจากการลอกเลียนแบบความรุนแรงของผู้ที่อยู่ในสายงานเดียวกันครั้งก่อนหน้า เพราะไม่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันและทิ้งระยะห่างเป็นปี จึงไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เห็นว่าในกลุ่มผู้เข้าถึงอาวุธได้ง่าย มีข้อดีในการบังคับบัญชาได้แต่มีจุดอ่อนในกลุ่มผู้ที่ปัญหาแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ หรือการใช้อำนาจมากเกินไป ซึ่งเป็น 2 ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบฝ่ายความมั่นคง ดังนั้น องค์กรทั่วโลกจึงแก้ปัญหาให้ตรงจุด คือ 1.ทำให้การใช้อำนาจไม่ถูกต้องเกิดขึ้นน้อยที่สุด 2.ทำให้คนทำงานพูดได้ ขอคำปรึกษาได้ และ 3.การควบคุมการใช้อาวุธไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนที่เปราะบาง โดยมีจิตแพทย์ให้คำปรึกษาได้

“คนที่ใกล้ชิดกับอาวุธ เห็นทุกวันก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เมื่อความรุนแรง แทนที่จะอยู่ในระดับคำพูด การชกต่อยกัน ก็กลายเป็นการลงมือด้วยอาวุธ” นพ.ยงยุทธกล่าว

เมื่อถามถึงปัญหาความรุนแรงของไทย นพ.ยงยุทธกล่าวว่า ท่ามกลางความยากลำบากทางสังคมทั้งวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจในประเทศ ภาวะความขัดแย้งต่างประเทศก็ส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ ก็เป็นการเติมความเครียดให้กับคนในจำนวนมาก โดยรายงานขององค์การอนามัยโลก(WHO) ระบุว่า ปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น คือ 1.ภาวะซึมเศร้ามากขึ้นกว่า 20% 2.ปัญหาการฆ่าตัวตายก็เพิ่มขึ้นตามมามาก ดังนั้นสังคมต้องร่วมกันทำให้เพิ่มขึ้นน้อยที่สุด หรือทำให้คนได้รับความช่วยเหลือมากที่สุด และ 3.ความรุนแรงที่เกิดทั้งในและนอกครอบครัว เช่น ท้องถนน ที่ทำงาน ซึ่งความรุนแรงจะไต่ระดับจากคำพูด ความรุนแรงทางกายภาพและสูงสุดคือทำร้ายจนเสียชีวิต โดยองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญการควบคุมเครื่องมือที่นำไปสู่การใช้ความรุนแรง เช่น อาวุธปืนทั้งที่ถูกและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนได้ง่าย เพราะเราคาดเดาไม่ได้ว่าใครจะมีความเครียดจนถึงใช้ความรุนแรง

นพ.ยงยุทธกล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มผู้ที่ป่วยทางจิตเพียง 4% ดังนั้น 95% ที่เหลือเป็นความรุนแรงจากคนที่ไม่ป่วยแต่มีความเครียดสูง ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่ทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ เมื่อต้องดูกลุ่มเสี่ยงใหญ่ ก็สามารถดูจากการเอาอาชีพเป็นตัวตั้ง เช่น ฝ่ายความมั่นคงที่ง่ายต่อการใช้อาวุธ เอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง หรือมองภาพใหญ่ของสังคมเป็นตัวตั้ง ก็จะทำให้ 95% ของปัญหาดีขึ้น

นพ.ยงยุทธกล่าวต่อว่า สำหรับกรมสุขภาพจิต ได้ออกแบบ 2 โปรแกรมเพื่อเปิดรับองค์กรต่างๆ นำบุคลากรมาดูแลสุขภาพจิต คือ 1.โปรแกรมมาตรฐาน ที่จะดูแล 3 เรื่อง คือ การจัดการความเครียด การเงิน และการฝึกความสามารถในการสื่อสาร เช่น ให้หัวหน้ารับฟังลูกน้อง และ 2.โปรแกรมวิสัยทัศน์ เป็นการพัฒนาระดับจิตของบุคลากร เรียกว่า สติในองค์กร เป็นการนำจิตวิทยาสติ ให้คนที่คุณภาพจิตที่ดีขึ้น โดยทางกรมสุขภาพจิตก็ได้สร้างแรงจูงใจให้องค์กร โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้

“มีความพยายามจะทำโปรแกรมเหล่านี้ในองค์กรฝ่ายความมั่นคง เพื่อให้เกิดการจัดการเชิงระบบ ให้หัวหน้าใส่ใจลูกน้องมากขึ้น ซึ่งกรมสุขภาพจิตก็มีความร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคงมาโดยตลอด ฉะนั้นจะมีการทบทวนและใช้โปรแกรมใหม่ๆ เข้ามาช่วย” นพ.ยงยุทธกล่าว

อย่างไรก็ตาม นพ.ยงยุทธกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะสามารถนำมาเป็นบทเรียนได้ เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่องค์กรจะทบทวนตัวเอง ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดังนั้นอย่ามองว่าเป็นการตีตราสายอาชีพ แต่ให้มองว่า จริงๆ แล้วการที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นได้ แสดงว่ามีช่องว่างในระบบที่เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org