ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรคเตรียมหารือแนวทางใช้แอนติบอดีสำเร็จรูป ( Long Acting Antibody: LAAB) วันที่ 4 พ.ย. นี้ หลัง อย. ขึ้นทะเบียนให้สามารถใช้รักษาโควิด-19  จากเดิมใช้ป้องกันโรค  ด้านรองอธิบดีคร. เผยแม้จะขยายข้อบ่งชี้มาใช้ในการรักษา แต่ก็ยังเป็นการนำมาใช้เสริมกับวัคซีนเพื่อป้องกัน สำหรับการใช้เพื่อรักษาหลักๆ จะใช้ในกลุ่มที่เพิ่งเริ่มป่วย ในกลุ่มผู้สูงอายุ มีโรคเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ป่วยล้างไต คนไข้มะเร็งรักษาด้วยคีโม ฯลฯ

 

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.)  ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Long Acting Antibody: LAAB) ในการรักษา ว่า เดิม LAAB ขึ้นทะเบียนครั้งแรก ใช้ฉีดเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 แต่ล่าสุดเมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศแล้ว อย.ไทยก็มีการอนุมัติขยายข้อบ่งชี้ในการรักษาโควิด 19 กลุ่มเสี่ยงสูงหรือภูมิคุ้มกันไม่ดี โดยวันที่ 4 พ.ย.จะมีการนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องช่วยปรับแนวทางเตรียมพร้อมเรื่องการรักษาเพิ่มเติม เพื่อกระจายในหน่วยบริการทุกแห่งต่อไป

 

เมื่อถามว่าขณะนี้มี LAAB 2 แสนโดส เมื่อขยายเป็นการรักษาด้วยจะเพียงพแหรือต้องจัดหาเพิ่มเติมหรือไม่ นพ.ธเรศกล่าวว่า หลังปรับข้อบ่งชี้มาใช้การรักษาก็จะดูเพิ่มเติมว่าปริใาณการใช้เพิ่มขึ้นแค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่ได้จัดซื้อเพิ่ม แต่เป็นการเปลี่ยนจากวัคซันแอสตร้าเซนเนก้ามาเป็น LAAB หากพบว่ามีความต้องการใช้เพิ่มก็อาจขอปรับเปลี่ยนวัคซีนมาเป็น LAAB เพิ่มได้

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบกีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า LAAB แม้จะขยายข้อบ่งชี้มาใช้ในการรักษา แต่ก็ยังเป็นการนำมาใช้เสริมกับวัคซีนเพื่อป้องกัน สำหรับการใช้เพื่อรักษาหลักๆ จะใช้ในกลุ่มที่เพิ่งเริ่มป่วย ในกลุ่มผู้สูงอายุ มีโรคเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ป่วยล้างไต คนไข้มะเร็งรักษาด้วยคีโม ข้อบ่งชี้ก็จะคล้ายกับกลุ่มที่ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แทนที่เราจะให้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันไม่ให้แบ่งจำนวน แต่แอนติบอดีจะเข้าไปยับยั้งตั้งแต่ตอนไวรัสเข้ามาใหม่ๆ ได้เลย เพราะจะไปจับตัวไวรัลพาร์ทิเคิล ซึ่งยิ่งให้แอนติบอดีเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี โดยวันที่ 4 พ.ย. จะมีการหารือแนวทางการใช้รักษาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

(ข่าวอื่นๆ : กรมควบคุมโรคหนุนฉีดวัคซีนโควิดเด็กเล็ก 6 เดือน -4 ปี นอก รพ. เริ่ม! บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ดแห่งแรก)

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง