พบ! คนไทยเป็นโรคเบาหวาน 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คนไทยที่อายุ 15 ปีขึ้นไปกำลังป่วย ในจำนวนนี้กว่า 40% ที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย และยังมีผู้ป่วยด้วยโรคอ้วนกว่า 20 ล้านคน รายงานชี้ปี 2060 ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคอ้วนจะเติบโตขึ้นเป็น 4.9% ของ GDP ในประเทศไทย
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2566 สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย และโนโว นอร์ดิสค์ ผนึกความร่วมมือกับภาครัฐ ร่วมขจัดภาระโรคเบาหวานและโรคอ้วนในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนสูการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน เนื่องในวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 ของทุกปี
ในปี 2566 นี้ สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ได้ร่วมกับสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย และโนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย เปิดเวทีเสวนาหัวข้อ ‘การผนึกความร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อขจัดภาระโรคเบาหวานและโรคอ้วนในประเทศไทย’ ซึ่งได้ระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (หรือ NCDs) พร้อมสนับสนุนภาครัฐและพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันในการลดอัตราผู้ป่วยเบาหวาน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษา และสิทธิในการเบิกจ่าย โดยได้รับเกียรติจาก นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมเวทีเสวนาเพื่อให้ข้อมูลเชิงนโยบายสุขภาพ และการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขของไทย ณ สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย
นพ.โอภาส กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพที่คุกคามคนไทย คือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน เป็นตัวสะท้อนว่า ความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไป มีตัวเลขผู้ป่วยสูงขึ้นจนน่าตกใจ ซึ่งการดูแลรักษาเป็นนโยบายสำคัญ เพราะผลกระทบจะไปถึงสังคมและเศรษฐกิจ ความร่วมมือนี้จึงสำคัญมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ คือ จะต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ ทั้งการป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสภาพ และการให้ความรู้ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวประชาชน เพราะโรคเบาหวานและโรคอ้วน เกิดจากสภาพความเป็นอยู่ สังคม การใช้ชีวิต การจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องทำอย่างเป็นระบบ เช่น บริษัทต่าง ๆ ภาครัฐและเอกชน ดูแลบุคลากรของตัวเอง จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลดภาวะโรคอ้วนก็จะช่วยได้
"ปัญหาสุขภาพของคนไทยเปลี่ยนจากโรคติดต่อมาเป็นโรคไม่ติดต่อ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิตของคนไทย คือ โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ส่วนหนึ่งเกิดจากโรคอ้วน นโยบายสาธารณสุขจึงมีการยกระดับ 30 บาทพลัส ให้รักษาได้ทุกที่ ทุกเวลา บูรณาการเรื่องต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหา ที่เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพประชาชน และต้องบูรณาการร่วมกันทั้งระดับปฐมภูมิ ระดับตัวบุคคล ระดับโรงพยาบาล ระดับการแพทย์และสาธารณสุข เป็นวงจรต่อเนื่องไป" นพ.โอภาส กล่าว
ศ. เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความชุกของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดจากปัญหาโรคอ้วนและพฤติกรรมการใช้ชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยมีอัตราผู้ป่วยรายใหม่ประมาณหนึ่งแสนคนต่อปี ในปัจจุบันมีคนไทยเป็นโรคเบาหวานอยู่ประมาณ 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คนไทยที่อายุ 15 ปีขึ้นไป กำลังป่วยด้วยโรคเบาหวาน ในจำนวนนี้กว่า 40% ที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ขณะที่ผู้ได้รับการวินิจฉัยและดูแลรักษามีเพียง 54.1% หรือเพียง 2.8 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียง 1 ใน 3 คน ที่สามารถบรรลุเป้าหมายในการรักษา ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคเบาหวานในไทยมีมากถึง 200 รายต่อวัน เชื่อว่าการผนึกกำลังของทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาคือทางออกที่ดีที่จะช่วยลดอัตราผู้ป่วยเบาหวาน โรคอ้วน และโรค NCDs เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ป่วยและสังคมไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับ 9 เป้าหมายการดำเนินงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในการป้องกันควบคุมสถานการณ์โรคไม่ติดต่อในระดับโลก ภายในปี 2568
รศ. นพ.เพชร รอดอารีย์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย กล่าวถึงอุบัติการณ์โรคอ้วนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 30 หรือมีผู้ป่วยด้วยโรคอ้วนกว่า 20 ล้านคน นำมาซึ่งความเสี่ยงกลุ่มโรค NCDs ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และมะเร็ง โดยโรคกลุ่มนี้ยังคุกคามความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ปัจจุบันงบประมาณกว่าครึ่งหมดไปกับการรักษาโรค NCDs และยังสร้างผลกระทบอย่างมากต่อภาคธุรกิจ ขณะที่วิธีการแก้ปัญหาในปัจจุบันยังเป็นการตั้งรับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักว่า ‘ความอ้วนเป็นโรค ที่ต้องรักษา’ ระบบสาธารณสุขไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนหาแนวทางป้องกันก่อนเกิดโรค ควรเร่งดำเนินการนโยบายเพื่อจัดการกับโรคอ้วน และโรค NCDs อย่างจริงจัง รวมถึงวางมาตรการหรือกรอบนโยบายที่ชัดเจน อาทิ เรื่องภาษีน้ำตาล โซเดียม การบริโภคอาหารที่โภชนาการเหมาะสม รวมถึงส่งเสริมการออกกำลังกายอย่างเป็นรูปธรรม การให้ความรู้ประชาชนและการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี โดยคำนึงถึงสุขภาพประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ
นายยอน ธอร์กอร์ด (H.E. Mr. Jon Thorgaard) เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานครั้งนี้เน้นให้ความสำคัญของการผนึกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาด้านการดูแลสุขภาพที่ซับซ้อน โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคเรื้อรังอื่นๆ พร้อมสนับสนุนและเชื่อมสัมพันธ์พันธมิตรระหว่างประเทศและแบ่งปันข้อมูลด้านสาธารณสุขเพื่อร่วมกันยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดียิ่งขึ้น เน้นความสำคัญด้านนวัตกรรม การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการสร้างสมดุลความยั่งยืนของสุขภาพ ซึ่ง ‘การดูแลสุขภาพที่ยั่งยืน’ ถือเป็นการลุงทนสำหรับอนาคตร่วมกันของพวกเราทุกคน ที่ผ่านมา รัฐบาลเดนมาร์กประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนผ่านศูนย์ดูแลสุขภาพ Steno Diabetes Center ที่ Copenhagen โดยมีมูลนิธิโนโว นอร์ดิสค์ ทำงานใกล้ชิดร่วมกับภาครัฐในการยกระดับคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการด้านสาธารณสุขให้สามารถรองรับผู้ป่วย และขยายการเข้าถึงบริการสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยได้การรับรองจาก World Economic Forum's Global Coalition for Value in Healthcare ว่าเป็นศูนย์ฯ ที่เป็นผู้นำระดับโลกที่สร้างนวัตกรรมการดูแลสุขภาพที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์
นายเอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ (Enrico Cañal Bruland) รองประธานกรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา ประเทศไทย จำกัด เผยถึงความมุ่งมั่นของโนโว นอร์ดิสค์ ด้วยการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนมายาวนานครบ 100 ปี นับว่าเป็นความท้าทายด้านการดูแลสุขภาพในระดับโลกเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อการมีสุขภาพที่ดีในปัจจุบัน และสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป ด้วยนวัตกรรมการรักษาและการป้องกันแบบบูรณาการ ไม่เพียงแต่โรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรคอ้วน และโรค NCDs อื่นๆ ขณะที่ประเทศไทย โนโว นอร์ดิสค์ ดำเนินการมา 40 ปี โดยได้ร่วมมือกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ในโครงการ Affordability Project เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการคัดกรอง การวินิจฉัย และการรักษาโรคเบาหวานในพื้นที่ชนบทอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพและรักษาโรคเบาหวานแก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขของไทย โดยศูนย์ดูแลสุขภาพ Steno Diabetes Center ที่ Copenhagen ณ ประเทศเดนมาร์ก นับเป็นตัวอย่างโมเดลที่ประสบความสำเร็จ ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเดนมาร์กและมูลนิธิโนโว นอร์ดิสค์ ซึ่งศูนย์ฯ แห่งนี้ได้ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงมิติต่างๆ ในการดูแลสุขภาพอย่างพิถีพิถัน เพื่อมุ่งเน้นในการยกระดับการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและการวิจัยเบาหวานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานในองค์รวม
จากรายงาน BMJ Global Health (ปี 2021) ระบุว่าในปี 2060 หากประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคอ้วนคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 4.9% ของ GDP ในประเทศไทย ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายโดยตรงจากการรักษาสุขภาพ และค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น การสูญเสียผลผลิต (lost productivity) จากการใช้แรงงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือการขาดงานจากผู้ที่ต้องรักษาโรคอ้วน และหากลดความชุกของโรคอ้วนลง 5% จากระดับที่คาดการณ์ไว้หรือคงไว้ที่ระดับปี 2019 จะทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจลดลงเฉลี่ย 5.2% และ 13.2% ต่อปี ระหว่างปี 2020-2060 ตามลำดับ
- 10132 views