ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ประชุมคกก.สุขภาพจิตแห่งชาติ เห็นชอบตั้งกองทุนสุขภาพจิตและจิตเวช คาดมีความเป็นไปได้ใช้งบประมาณร้อยละ 50 จากการยึดทรัพย์ยาเสพติดของ ป.ป.ส. ขณะที่งบประมาณดูแลสุขภาพจิตของไทยที่ผ่านมาได้เพียง 50 บาทต่อคน ขณะที่ทั่วโลกให้งบสูงเฉลี่ย 250 บาท

 

เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ที่มีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วม ว่า รัฐบาลและคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติให้ความสำคัญในประเด็นการดูแลสุขภาพจิตประชาชนทุกกลุ่มวัย โดยนโยบายสำคัญ ได้แก่

1.ปัญหาความรุนแรงในวัยรุ่นและผู้ที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โดยส่งเสริมเจตคติที่ดี การเคารพสิทธิ ส่งเสริมสถาบันครอบครัว เพิ่มมาตรการป้องกัน ลดสถานที่เสี่ยง บังคับใช้กฎหมาย เน้นการช่วยเหลือมากกว่าลงโทษ และมีมาตรการดูแลช่วยเหลือผู้มีความประพฤติรุนแรง

2.การจัดการผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ปัญหาผู้ป่วยจิตเวชเร่ร่อน ค้นหา เฝ้าระวังเชิงรุก นำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา เพิ่มช่องทางเข้าถึงบริการ มาตรการดูแลต่อเนื่อง และส่งกลับชุมชน

3.ปัญหาการข่มขืน กระทำชำเรา การค้นหา เฝ้าระวังเชิงรุก นำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา เพิ่มช่องทางเข้าถึงบริการ มาตรการดูแลอย่างต่อเนื่อง และส่งกลับชุมชน

4.ปัญหาผู้ติดยาเสพติดและจิตเวช นอกจากจะป้องกันปราบปรามตามมาตรการกฎหมาย บูรณาการในการบำบัด รักษา ฟื้นฟู ติดตามหลังจากกลับสู่ชุมชน ลดการเสพซ้ำ เพื่อป้องกันการก่อความรุนแรง รวมถึงตั้งกรรมการเพิ่มในส่วนของกรุงเทพฯ

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า  ปัญหาสุขภาพจิตมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งทุกวันนี้ยาเสพติดกำลังเติบโต ทำให้เงินกองทุนป.ป.ส. ก็เติบโต ขณะที่กรมสุขภาพจิตเป็นหน่วยงานที่ต้องเข้าไปรองรับการบำบัด ฟื้นฟู ซึ่งต้องใช้งบประมาณมาก แต่ยังมีจุดด้อยในร่างกฎหมายที่เสนอไปก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มีกองทุนสำหรับดูแล ดังนั้น ครั้งนี้จึงมีการปรับปรุง เพิ่มการตั้งกองทุนเข้าไปด้วย ซึ่งคิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะตอนนี้รัฐบาลมีกฎหมายไม่มาก แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งบฯ แต่เรารู้ว่า ถ้าไม่มีเงิน งานก็ทำไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเราเห็นอยู่ว่ามีอันตรายที่เข้าสู่เด็กและเยาวชน มีเคสที่ทำร้ายกันเสียชีวิตเยอะ และมีผู้ป่วยจิตเวชเข้ามาปะปน ซึ่งทราบจากการดำเนินงานควบคุมและป้องกันความรุนแรง และการดูแลผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง ปี 2566 มีจำนวนผู้ก่อความรุนแรงรายสะสม 42,629 คน ในจำนวนนี้เป็นรายใหม่ 15,000 คน จึงมีการดูแลผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง อย่างใกล้ชิด

ด้าน นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในสังคมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดเสี่ยงก่อความรุนแรงปัญหาสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน ปัญหาการฆ่าตัวตาย ต้องอาศัยการดำเนินงานแบบบูรณาการจากหลากหลายหน่วยงาน อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดที่ต้องอาศัยกลไกด้านกฎหมาย จึงควรมีการทบทวนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุขภาพจิต พ.ศ.2551 และอนุบัญญัติฯ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านงบประมาณ จะมีการเพิ่มหมวดการจัดตั้งกองทุนสุขภาพจิตและจิตเวช ด้านบุคลากรเสนอให้เพิ่มเติมพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิตฯ และทบทวนบทบัญญัติ ที่สามารถออกอนุบัญญัติฯ ในการดำเนินงานการสร้างเสริมสุขภาพจิต  

เมื่อถามถึงรายละเอียดการจัดตั้งกองทุนด้านสุขภาพจิตและจิตเวช นายสมศักดิ์กล่าวว่า วันนี้ได้พูดคุยกันแล้วว่าทางกรมสุขภาพจิตจะเร่งดำเนินการ คาดว่าใช้เวลาไม่มากในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งเป็นกองทุนจะใช้เวลาน้อยกว่าการทำเป็นกฎหมายที่จะต้องเสนอเข้าสภาก่อน ฉะนั้นการทำเป็นกองทุนก็อาจจะเร็วขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องของงบประมาณ แต่แน่นอนว่าหากไม่มีงบ การดำเนินงานต่างๆ ก็ทำได้ยาก เพราะปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องใหญ่มาก โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนที่มีปัญหาความรุนแรง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตเวชด้วย

ด้าน นพ.พงศ์เกษมกล่าวว่า สำหรับกองทุนสุขภาพจิตดังกล่าวนั้น ท่านรองนายกฯ ในฐานะที่ท่านเคยเป็น รมว.กระทรวงยุติธรรม ก็จะทราบว่ามีเงินจากการยึดทรัพย์ในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จึงมีการพูดคุยกันว่าที่มาของเงินกองทุนอาจจะมาจากส่วนนี้ ซึ่งอาจจะคิดเป็นร้อยละ 50 ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการค้ายาเสพติด เพราะยาเสพติดเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิต แต่เรื่องนี้ต้องไปดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ป.ป.ส. ด้วย

งบดูแลสุขภาพจิตได้เพียง 50 บาท/คน ขณะที่สากลเฉลี่ย 250 บ.

ขณะที่ พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการกองบริหารระบบบริการสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันกรมสุขภาพจิตได้รับงบประมาณคิดเฉลี่ยตามจำนวนประชากรอยู่ที่คนละ 50 บาท ซึ่งค่าเฉลี่ยสากลทั่วโลกอยู่ที่ 250 บาท หรือถ้าเทียบกับประเทศที่ใกล้เคียงกับไทยก็อยู่ที่ประมาณ 150 บาท ดังนั้น ประเทศไทยได้รับงบน้อยกว่ากันถึง 5 เท่า ซึ่งเป็นงบที่ใช้ดูแลงานด้านสุขภาพจิตทั้งหมด ทั้งนี้ การดูแลผู้ป่วยสุขภาพจิต จำเป็นต้องใช้เวลาดูแลในระยะยาว จึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดูแลมาก