ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

บทบรรณาธิการ นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 24 พ.ค. 55-ขอสนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินหน้านโยบายสุขภาพมาตรฐานเดียวของ 3 กองทุนสุขภาพ นั่นคือ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง กองทุนประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ

ทั้งนี้ รัฐบาลชุดนี้ได้ประเดิมนโยบายป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียวไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ควรได้รับคำชื่นชมและกำลังจะเดินหน้ารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง เอดส์ และไต ให้เป็นมาตรฐานเดียวในลำดับต่อไปอีก

อย่างไรก็ตาม การจะทำให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด รัฐบาลจำเป็นต้องมีฐานคิดที่ว่า รักษามาตรฐานเดียว ต้องมีคุณภาพสูงขึ้น

นั่นหมายถึง นอกจากจะลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพแล้ว จะต้องสร้างความเป็นธรรมและเท่าเทียมให้เป็นจริงด้วย อย่างน้อยที่สุดประชาชนต้องได้คุณภาพการรักษาเท่าเทียมสวัสดิการข้าราชการ

อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลยืนยันจะไม่รวมกองทุนสุขภาพเข้าด้วยกัน แต่เพื่อให้นโยบายนี้ได้มาตรฐานจะต้องมีการบูรณาการข้อมูลของทั้งสามกองทุนให้เป็นระบบ เพื่อให้การบริการไม่ขลุกขลักและมีอุปสรรคเกิดขึ้น

เพื่อให้การดำเนินนโยบายเดินไปสู่เป้าหมายที่ควรจะเป็นประเด็นสำคัญที่สุดคงอยู่ที่ความกล้าหาญในการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์นี้ด้วยตัวเอง

เสียงปรบมือจะกึกก้องเช่นปรากฏการณ์ 30 บาท รักษาทุกโรค ในปี 2544 จะเกิดขึ้นได้ด้วยการลงมือผ่าตัดระบบประกันสังคม เพื่อให้ผู้ประกันตน10 ล้านคน ไม่ต้องจ่ายสมทบค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากยังเป็นประชาชนกลุ่มเดียวที่ต้องควักเงินจ่ายค่าหมอ

หากรัฐบาลหวังจะเป็นคนใจถึงพึ่งได้ต้องกล้าตัดสินใจในเรื่องนี้เป็นการด่วนด้วยการให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บริหารจัดการการรักษาพยาบาลแทน จากนั้นรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนค่าใช้จ่ายให้

เมื่อสามารถจัดทำสิทธิประโยชน์ให้เท่าเทียมกันเสียงสรรเสริญจะดังกระหึ่มไปทั่วสารทิศ อย่างน้อยหากผู้ประกันตนได้สิทธิประโยชน์เท่าระบบบัตรทอง นั่นเท่ากับสามารถลดความเหลื่อมล้ำลงได้มากโข

แน่นอนที่สุด ประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชนและประเทศชาติ ต้องไม่เป็นไปเพื่อหวังผลทางการเมืองเพียงด้านเดียว ด้วยการค่อยๆ ทำ เสมือนเลี้ยงไข้ตามวาระทางการเมือง

รัฐบาลควรดำเนินนโยบายนี้เพื่อพื้นฐานมนุษยธรรมและความเท่าเทียมอย่างแท้จริง

หากรัฐบาลข้ามพ้นเรื่องคะแนนเสียงไปได้พรรคเพื่อไทยก็จะสร้างคุณูปการแก่ประเทศนี้อย่างใหญ่หลวง เช่นที่พรรคไทยรักไทยเคยทำไว้เมื่อปี2544

นโยบายสุขภาพมาตรฐานเดียวจะเป็นประวัติศาสตร์ในทศวรรษที่สองที่พรรคการเมืองอื่นไล่ตามไม่ทัน