ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

เมื่อวันที่ 12 มกราคม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีรัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาเด็กไทยให้มีความฉลาดทางสติปัญญา หรือไอคิว และความฉลาดทางอารมณ์ หรืออีคิว เพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลว่า สธ.ได้ทำโครงการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาองค์ความรู้พื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเด็ก แรกเกิด-5 ขวบ กลุ่มวัยเรียน 6-11 ขวบ และกลุ่มวัยรุ่น 12-18 ปี ซึ่งได้พัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทย และพัฒนาระบบข้อมูลขยายผลลงสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

"ผลการสำรวจไอคิวนักเรียนไทยทั่วประเทศในปี 2554 พบเด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ย 98.59 จุด ต่ำกว่าค่ากลางมาตรฐานสากลในยุคปัจจุบันคือ 100 จุด โดยเด็กในเขต กทม.มีระดับไอคิวเฉลี่ยสูงสุด 104.5 รองลงมาภาคกลาง 101.29 จุด ภาคเหนือ 100.11 จุด ภาคใต้ 96.85 จุด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้อยสุดคือ 95.99 จุด ซึ่งในปี 2556 นี้ สธ.มีนโยบายส่งเสริมให้เด็กไทยมีไอคิวสูงขึ้น โดยเน้นพื้นที่ดำเนินงาน 3 จุด คือ 1.คลินิกเด็กสุขภาพดีในโรงพยาบาลทั่วประเทศ 2.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 20,000 แห่งทั่วประเทศ และ 3.สอนพ่อแม่มีความรู้และทักษะในการอบรมเลี้ยงดูบุตร เช่น เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน คาดว่าจากผลดำเนินงานภายในปี 2559 ไอคิวของเด็กไทยจะเข้าสู่มาตรฐานสากลคือ 100 จุด" นพ.ชลน่านกล่าว

นพ.วิชระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผลสำรวจของ สธ.ในปี 2554 พบเด็กไทยอายุ 6-11 ขวบ มีค่าคะแนนอีคิวเฉลี่ยพื้นฐานระดับประเทศอยู่ที่ 45.12 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ โดยมีเด็กที่ค่าเฉลี่ยคะแนนอีคิวพื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 50 ขึ้นไปเพียงร้อยละ 28 ส่วนเด็กที่คะแนนต่ำกว่าปกติเกือบร้อยละ 80 จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้ครบองค์ประกอบ 3 ด้านคือ ดี เก่ง สุข สำหรับด้านที่น่าเป็นห่วงที่พบว่าคะแนนต่ำที่สุดคือ มุ่งมั่นพยายาม กล้าแสดงออก และรื่นเริงเบิกบาน ทั้งนี้ พบว่าคะแนนดิบอีคิวของเด็กไทยมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในปี 2554 อยู่ที่ 170 ขณะที่ปี 2550 อยู่ที่ 180 และปี 2545 อยู่ที่ 186 ดังนั้น ในปี 2556 กรมสุขภาพจิตจึงเร่งเสริมสร้างความมุ่งมั่นพยายามให้กับเด็กทั้ง 3 กลุ่มวัยคือ ปฐมวัย วัยเรียน และวัยรุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมเด็กไทยก้าวสู่ประชาคมอาเซียน คาดว่าอีคิวเด็กไทยจะดีขึ้นเมื่อสำรวจอีกครั้งในปี 2559

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 13 มกราคม 2556