ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สวรส.นำทีมสนับสนุนด้านวิชาการจัดทำทิศทางระบบสุขภาพและปัจจัยกำหนดสุขภาพคนไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อวางกรอบและยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพของประเทศในทุกมิติที่สอดคล้องเท่าทันต่อสถานการณ์

นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ​รักษาการผู้อำนวย​การสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า ตามที่กฎหมายได้กำหนดให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) มีหน้าที่ในการทบทวนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติอย่างน้อยทุก 5 ปี ซึ่งธรรมนูญฯ ดังกล่าวจะครบรอบการปรับปรุงในปี 2557 โดยการปรับปรุงเนื้อหาในธรรมนูญฯ จำเป็นต้องใช้องค์ความรู้เพื่อกำหนดภาพอนาคตของระบบสุขภาพ อันจะช่วยให้เห็นกรอบแนวทางในการออกแบบนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานด้านสุขภาพของประเทศในอนาคต ดังนั้น สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จึงร่วมกันจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ในการจัดทำภาพอนาคตระบบสุขภาพไทย บนฐานข้อมูลการศึกษาแนวโน้มและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพไทย โดยผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบสุขภาพ เช่น การคมนาคมทั้งในประเทศและต่างประเทศสะดวกมากขึ้น หลายชุมชนจัดการตนเองได้มากขึ้น มีการพัฒนาระบบการขนส่งเพื่อตอบสนองต่อคนทุกกลุ่มมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบสุขภาพ เช่น ภัยธรรมชาติ โรคอุบัติใหม่ วิธีการและรูปแบบการทุจริตคอรัปชั่นจะหลากหลาย จะตรวจสอบและเฝ้าระวังได้ยากขึ้น จากข้อมูลดังกล่าวนำมาสู่การระดมความคิดเห็นจากผู้กำหนดนโยบายทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข ภาคประชาสังคม  นักวิชาการ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้ระบุประเด็นปัจจัยและสาเหตุของภาพอนาคต รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบสุขภาพ ตลอดจนแนวทางการป้องกันเพื่อลดผลกระทบนั้น

“จากการระดมความคิดเห็น  พบประเด็นที่น่าสนใจจากการมองปัจจัยที่ไม่แน่นอน 4 ประเด็นได้แก่ 1.การปฏิรูปครั้งใหญ่ของโครงสร้างทางการเมืองและกฎหมาย  2.สังคมให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น  3.แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการเจรจาการค้าเสรีระหว่างประเทศ  4.แนวโน้มการรักษาผู้ป่วยที่พึ่งพาเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์มากขึ้น  โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้แสดงจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันจากอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต ทั้งภาพลบและบวก โดยกลุ่มที่คิดว่าสุขภาพของคนไทยในอนาคตอาจจะดีขึ้น มองว่าอีก 10 ปีข้างหน้าระบบสุขภาพจะมีความเข้มแข็งบนฐานพลังร่วมกันของสังคม โดยมีระบบการบริหารจัดการที่ดีและโปร่งใส รวมทั้งมีการกระจายอำนาจด้านสุขภาพให้ประชาชนได้ตัดสินใจมากขึ้น  ส่วนกลุ่มที่คิดว่าสุขภาพของคนไทยในอนาคตอาจจะแย่ลง มองว่าอาจจะเกิดภาวะหลุมดำของระบบสุขภาพ เนื่องจากอาจมีการใช้อำนาจโดยมิชอบ และบางเรื่องกฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ ตลอดจนขาดการเตรียมกลยุทธ์และยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านสุขภาพที่รอบคอบ”

“อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยที่มีแนวโน้มที่จะเกิด และปัจจัยผลักดันที่จะส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพทั้งหมด จะถูกนำมากำหนดเป็นชื่อภาพอนาคตและจัดทำรายละเอียดของภาพที่สะท้อนให้เห็นทั้งความหวาดกลัวและความหวังที่มีต่อระบบสุขภาพของประเทศ ณ เส้นเวลาเดียวกัน ซึ่งแต่ละประเด็นอาจเกิดขึ้นหรืออาจเป็นจริงได้ทั้งสิ้น เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายทุกภาคส่วนได้ใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนและออกแบบการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเฉพาะคณะกรรมการทบทวนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติที่มีหน้าที่ปรับปรุงเนื้อหาในธรรมนูญฯ ฉบับต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและบรรลุวัตถุประสงค์ของระบบสุขภาพอย่างแท้จริง” นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าว