ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นพ.กำพล พลัสสินทร์

ราคาหุ้น รพ.จุฬารัตน์ พุ่งหลังโรดโชว์สิงคโปร์และฮ่องกงเมื่อปลายเดือน มิ.ย. ราคาหุ้นบริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์(CHG) พุ่งแรง 15.6% นับตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา หุ้นละ 8.65 บาท จนถึงวันศุกร์ที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ปิดที่ 10 บาท ในจังหวะที่ดัชนีซบเซา

นพ.กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการ CHG เปิดเผยว่า สาเหตุที่ราคาหุ้น CHG ทยอยเพิ่มขึ้น ประเมินว่าเป็นผลมาจากการที่บริษัทเพิ่งเดินทางกลับจากการให้ข้อมูลกับผู้ลงทุน (โรดโชว์) ต่างประเทศในสิงคโปร์และฮ่องกงเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีโอกาสพบกับผู้จัดการกองทุน 45 กอง

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในผลประกอบการของบริษัทว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และมองว่าจะเป็นหุ้นที่มีการเติบโตดีในอนาคต ขณะที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดในมือระดับสูง

นอกจากนี้ ยังมองถึงกลยุทธ์ของบริษัทที่วางไว้ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

"ผลจากการไปโรดโชว์ในต่างประเทศทำให้นักลงทุนต่างชาติรู้จัก CHG มากขึ้นและจากปัจจัยหลายๆ อย่างที่นักลงทุนต่างชาติเห็น ทำให้สนใจลงทุนในหุ้นของCHG" นพ.กำพลกล่าว

ก่อนหน้านี้ นพ.กำพล ได้กล่าวไว้ว่ารายได้ไตรมาส 2 ของบริษัทจะดีกว่าไตรมาสแรกที่อยู่ที่ 504.19 ล้านบาท เนื่องจากเป็นไปตามฤดูกาลและจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้น และทั้งปี 2556 รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปี 2555 ที่มีรายได้1,870 ล้านบาท มาจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทั้งผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยที่ใช้สวัสดิการของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม CHG เพิ่งเข้าซื้อขายในกลุ่มโรงพยาบาลในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรก เมื่อวันที่16 พ.ค.ที่ผ่านมา จากราคาจองหุ้นละ 6.30 บาทจนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นเวลากว่า 2 เดือนราคาพุ่งขึ้นมาเกือบ 59% โดยหุ้นที่เปิดขายประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) กระจายให้นักลงทุนสถาบันถึง 60%

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เกียรตินาคิน ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของCHG ที่ 10.30 บาท และคาดว่ากำไรสุทธิ5 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ยต่อปี 16% ในปีนี้และคาดว่า CHG จะมีกำไรสุทธิ 391 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนลูกค้ากลุ่มเงินสดเพิ่มขึ้น 4% และจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น 6%

"เราคาดว่ารายได้กลุ่มเงินสดที่มีสัดส่วน 55% จะหนุนอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 35.8% และมีอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมที่29%

สำหรับแนวโน้ม 5 ปี (2556-2560)คาดว่าความสามารถในการให้บริการ และการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ถาวรที่มีประสิทธิภาพ มีอัตรากำไรทั้งอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีดีต่อเนื่องที่ระดับ36% และ 24% ตามลำดับจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 16%"

CHG มีปัจจัยพื้นฐานน่าสนใจจากผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตสม่ำเสมอเนื่องจากมีความสามารถในการแข่งขันด้านทำเลที่ตั้ง และขยายความสามารถให้บริการเพื่อเจาะตลาดลูกค้าระดับกลางล่างเพิ่มเติม

ทั้งนี้ คาดว่า CHG จะยังบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพและได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ทำให้อัตรากำไรสูงเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลขนาดเดียวกันอย่างโรงพยาบาลมหาชัย (M-CHAI)โรงพยาบาลศิครินทร์ (SKR) และโรงพยาบาลวิภาวดี (VIH)

ด้านนักวิเคราะห์บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้ราคาพื้นฐานของ CHG ที่ 9.80 บาทต่อหุ้น และคาดว่ารายได้ในปี 2556 จะเติบโตขึ้น 15.5% เป็น 2,111.28 ล้านบาทการรักษาโรคเฉพาะทางเพิ่มขึ้นจะผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น

ดังนั้น จึงคาดว่าในปีนี้กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปีก่อนเป็น 401.58 ล้านบาท ส่วนในปี 2557 คาดกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 13.6% เป็น 456 ล้านบาท

CHG ถือเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กที่มีเครือข่ายให้บริการรวม 10 แห่ง มีจำนวนเตียงให้บริการ 386 เตียง อยู่ในทำเลให้บริการครอบคลุมกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกสมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา

นอกจากนี้ เครือ CHG ยังมีความชำนาญรักษาโรคเฉพาะทางกระดูก โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจ รวมทั้งมีศูนย์ดูแลทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย (ICU ทารกแรกเกิด) ทำให้มีอัตรากาไรขั้นต้นเฉลี่ย 30%

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 23 กรกฎาคม 2556