ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.เผย 7 เดือนป่วยไข้เลือดออก 8.7 หมื่นคน ตาย 83 คน เตือนเด็กเล็ก หญิงท้อง ผู้สูงอายุ เสี่ยงอาการรุนแรง หากไข้สูงกินยาไม่หาย อาจเป็นไข้เลือดออกรุนแรง

นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกว่า ขณะนี้ยังไม่นิ่ง การแพร่พันธุ์ของยุงลายยังคงมีต่อเนื่อง อันเป็นผลจากฝนตกชุก ทุกภาคส่วนต้องรณรงค์ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบ้านและรอบบริเวณบ้าน จากการประชุมวอร์รูมติดตามประเมินสถานการณ์โรคไข้เลือดออกทั่วประเทศ พบว่า กลุ่มผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้ ส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัว โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง เมื่อป่วยเป็นไข้เลือดออก ได้แก่ เด็กเล็ก เด็กอ้วน หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ หากป่วยเป็นไข้สูง กินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดใน 1-2 วัน ขอให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

รมว.สาธารณสุขกล่าวอีกว่า ในกลุ่มที่กำลังป่วยเป็นไข้เลือดออกและอยู่ในช่วงที่ไข้ลด จะต้องระมัดระวังเฝ้าดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด 24-48 ชั่วโมง เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดอาการรุนแรงหลังไข้ลด โดยให้สังเกตอาการที่เป็นสัญญาณของอาการช็อกดังนี้ คือ ผู้ป่วยมีอาการซึม อ่อนเพลีย งอแง ไม่สบายตัว มีอาการปวดจุกแน่นในบริเวณท้องด้านขวา อาจมีเลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน ถ่ายเป็นเลือด หรือเป็นประจำเดือน หากมีอาการหนึ่งอาการใด ขอให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ป้องกันการเสียชีวิต

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วิธีการป้องกันไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือ ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในบ้านและรอบบ้าน ป้องกันไม่ให้ยุงกัดด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง นอกจากนี้การค้นหาและกำจัดลูกน้ำยุงลายควรทำทุกสัปดาห์ นอกจากที่บ้านแล้วควรรณรงค์ทำที่โรงเรียน ที่ทำงาน โรงพยาบาล ศูนย์การค้าต่างๆ วัด หรือศาสนสถาน โรงแรม รีสอร์ท สวนสาธารณะ โดยเฉพาะขยะที่มีน้ำขังได้ เช่น กล่องโฟม ยางรถยนต์ เป็นต้น

ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า อาการของผู้ป่วยมี 3 ระยะที่สำคัญ คือ 1.ระยะไข้สูงลอย อุณหภูมิร่างกายประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส กินยาลดไข้แล้วไข้มักจะไม่ลด การดูแลให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา ไม่ควรใช้น้ำเย็นเช็ดตัว เนื่องจากความเย็นจะทำให้รูขุมขนที่ผิวหนังปิด ความร้อนระบายออกจากร่างกายไม่ได้ 2.ระยะวิกฤติ มักเป็นในช่วงหลังไข้ลด 24-48 ชั่วโมง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการซึม อ่อนเพลีย หากเป็นเด็กจะงอแง ไม่สบายตัว อาจมีอาการปวดท้อง จุกท้อง อาการจะคล้ายกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ประชาชนมักจะเข้าใจผิดว่าไข้ลงแล้วจะดีขึ้นจึงไม่ใส่ใจ ดังนั้นหากมีอาการที่กล่าวมาต้องพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที และแจ้งอาการให้แพทย์ทราบ และ 3.ระยะฟื้นฟู หลังผ่านจากระยะไข้ลดแล้ว ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดอีก 2-3 วัน จนผู้ป่วยอาการดีขึ้น เช่น อาการซึมดีขึ้น กินได้ ไม่งอแง

ทั้งนี้ สถานการณ์โรคไข้เลือดออก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 23-30 กรกฎาคม 2556 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 5,770 ราย เสียชีวิต 5 ราย ผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม-30 กรกฎาคม 2556 มีทั้งหมด 87,533 ราย เสียชีวิต 83 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของผู้ป่วย โดยมี 10 จังหวัด 113 อำเภอ ที่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ศรีสะเกษ กทม. สุรินทร์ ตาก บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ชลบุรี และขอนแก่น เนื่องจากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก  วันที่ 5 สิงหาคม 2556