ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

หนังสือพิมพ์คมชัดลึก - ข้อเรียกร้องข้อสำคัญของสหภาพยุโรปในการเจรจาเอฟทีเอ  เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งคือ รัฐไทยต้องให้การคุ้มครองการลงทุนผ่านกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน (Investor State Dispute Settlement-ISDS) ที่ภาคเอกชน ภาคการลงทุน นักลงทุนข้ามชาติผลักดันกันสุดตัว สุดใจ

หัวใจของเจ้า ISDS คือการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องค่าเสียหาย หรือล้มนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศออกมา แม้นโยบายนั้นจะมีไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิให้ประชาชน แต่ไปกีดขวางนายทุนข้ามชาติ ให้เขาได้รับกำไร "ที่คาดว่าจะได้" น้อยลง ราวกับว่ารัฐบาลไปยึดทรัพย์นายทุนเหล่านั้น แม้จะเป็นทรัพย์ในอนาคต (อันรางเลือน) ก็ตาม

กลไกที่ว่านี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มีการใช้ในเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) หลายกรณี และพยายามจะผลักดันเพื่อใช้ให้มากขึ้นด้วย แต่ไม่มีใครเอาด้วย แต่อย่างไรก็ตามในกระบวนการการค้าโลกมีกลไกที่คล้ายๆ กันอยู่อีก ที่เรียกกันว่า ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า BIT (Bilateral Investment Treaty)

BIT เป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่จะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนข้ามชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ว่ารัฐบาลจะไม่ไปยึดทรัพย์ หรือมีนโยบายใดให้เขาเสียหาย เช่น จะไม่ไปเวนคืนที่ดินของพื้นที่อุตสาหกรรมของเขา เป็นต้น ซึ่งก็เข้าใจได้หากเป็นการยึดทรัพย์ทางตรงเช่นนั้น ใครๆ ก็ต้องการให้คุ้มครองอยู่แล้ว แต่ความหมายของ "การยึดทรัพย์" ถูกตีความให้กว้างขวาง นัยดังกล่าวถูกขยายความไปถึงการยึดทรัพย์ทางอ้อม ซึ่งหมายถึง "ผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต" ด้วย การให้นิยามอย่างกว้างขวางของ "นักลงทุน" ว่าอาจจะหมายถึงการมีหุ้นส่วนเพียงเล็กน้อย หรือการมาเปิดตู้ไปรษณีย์ ณ ประเทศไทยเพื่อการติดต่อก็นับเป็น "นักลงทุน" แม้จะไม่ได้มาลงทุนจริงก็ตาม

ตัวอย่างกรณีระดับโลก เช่น ออสเตรเลีย ถูก บริษัทฟิลลิป มอร์ริส ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อรัฐบาลออสเตรเลีย ในกรณีที่ออกนโยบายซองบุหรี่สีเดียวเพื่อลดการกระตุ้นการสูบบุหรี่ ซึ่งคดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์

ประเด็นที่คนไทยคุ้นเคยและใกล้ตัว คือกรณีที่บริษัทวอลเตอร์ บาว สัญชาติเยอรมนีในฐานะผู้ถือหุ้นในบริษัทดอนเมืองโทลล์เวย์ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย 30 ล้านยูโร ฐานที่รัฐบาลไทยขอให้บริษัทลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย และมีมาตรการไม่ให้บริษัทปรับขึ้นค่าผ่านทาง แถมยังทุบไฟแดง สร้างเกือกม้ากลับรถให้คนมีทางเลือกไม่ขึ้นโทลล์เวย์

และแล้วอนุญาโตตุลาการก็ชี้ขาดให้ไทยแพ้คดี ฐานทำกำไรของนักลงทุนหด ต้องชำระค่าเสียหาย ข่าวนี้เงียบฉี่ แต่ไทยต้องจ่ายค่าเสียหายจริงเป็นเงินกว่า 1,400 ล้านบาท และยังต้องเสียค่าดำเนินคดี ค่าทนาย ค่าจิปาถะกว่า 140 ล้านบาท

ตัวอย่างนี้เป็นสองในหลายพันกรณีทั่วโลก แม้รัฐบาลจะมี นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เป็นการปกป้องคุ้มครองสิทธิประชาชน แต่หากไปทำให้ "กำไรที่คาดว่าจะได้" ของบริษัทน้อยลง บริษัทข้ามชาติก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลได้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย หากไม่ใช่ภาษีของเราทุกคน

กลไกการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน ไม่ใช่ศาลในประเทศ ไม่ใช่ศาลโลก แต่เป็นกลไกอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ 3 คนที่ทั้งสองฝ่ายเลือกกันมา และคนกลางที่สองฝ่ายเห็นร่วมกันหรือมีกลไกจากภายนอกแต่งตั้งให้

ข้อกำหนดนี้เป็น "ฝันของนักลงทุน" ที่อยากจะให้มีอยู่ในข้อตกลงการค้าเสรีทุกฉบับกับทุกประเทศและแน่นอน บรรจุเป็นข้อเรียกร้องของการเจรจาเอฟทีเอ ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปครั้งนี้ด้วย

ไทยมีความตกลง BIT กับ 36 ประเทศทั่วโลก ในนั้นรวมความตกลงกับสหภาพยุโรป 13 ฉบับแล้ว แต่หากรัฐบาลไทยยอมรับข้อเรียกร้องในประเด็น ISDS จากการเจรจาการค้าครั้งนี้ก็จะมีผลบังคับใหม่ที่ใหญ่ หนักหน่วงและสาหัสกว่าเดิมกับทุกประเทศในสหภาพยุโรป นั่นหมายถึงอำนาจเหนือแผ่นดินของปวงชนชาวไทยที่ใช้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตย จะถูกถ่ายโอนไปอยู่ในกำมือบรรษัทข้ามชาติจริงๆ ในยุคนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก  วันที่ 13 กันยายน 2556