ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า จากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ระหว่างประเทศไทยและพม่า 7 สาขาการควบคุมโรค ถือเป็นเรื่องดีที่จะได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และติดตามสถานการณ์ร่วมกัน เนื่องจากที่ผ่านมายังขาดข้อมูลที่สำคัญ เช่น โรควัณโรค หรือ อัตราการดื้อยาของโรคมาเลเรีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบไปยังประชากรกลุ่มอื่นๆ ได้

พบว่าในแต่ละปีประเทศไทยพบอัตราการป่วยด้วยโรควัณโรคประมาณ 1 แสนราย มีอัตราการรักษาหายประมาณร้อยละ 80-90 และมีอัตราเชื้อดื้อยา ประมาณร้อยละ 1.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยองค์การอนามัยโลก (ฮู) กำหนดว่าไม่ควรเกินร้อยละ 3 ส่วนอัตราการกลับมาเป็นโรคซ้ำอยู่ที่ประมาณร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆพบว่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20-30 ซึ่งการเก็บสถิติและติดตามสถานการณ์นั้น ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนป้องกันโรควิธีหนึ่ง

"ปัญหาสาธารณสุขในแถบชายแดนไทย-พม่า จะมีปัญหาในเรื่องโรคมาลาเรีย โดยพบประชาชนป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 4-5 หมื่นราย ปัจจุบันพบว่าอัตราป่วยลดลงเหลือประมาณ 3 หมื่นราย แต่ครึ่งหนึ่งเป็นประชาชนชาวพม่าที่เดินทางเข้ามารักษาโรคในประเทสไทย และยังพบว่า แนวชายแดนประเทศกัมพูชา พบอัตราการเกิดโรคมาลาเรียดื้อยาจำนวนมาก เนื่องจากมียารักษาโรคปลอมซึ่งต้องเร่งแก้ปัญหาต่อไป" นพ.โอภาส กล่าว

ทั้งนี้จากความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ จะทำให้เกิดความร่วมมือ 4 จังหวัดคู่แฝด ได้แก่ จ.เชียงราย กับ ท่าขึ้เหล็ก จ.ตาก กับเมียวดี จ.กาญจนบุรี กับทวาย และจ.ระนอง กับเกาะสอง ซึ่งประเทศไทยจะเป็นพี่เลี้ยง และเป็นเหมือนโรงพยาบาลทุติยภูมิให้ โดยในการควบคุมโรคระหว่างแนวชายแดน จะส่งผลดีกับทั้งสองประเทศถือเป็นการเกื้อหนุนระหว่างกันทำให้เกิดการสร้างสุขภาพที่ดี เพราะบางโรคหากแห้เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ไม่สามารถหยุดการเกิดโรคได้ เพราะปัจจุบันประชาชนมีการเดินทางเข้าออกจำนวนมากขึ้น การทำงานจึงต้องร่วมมือทุกฝ่าย ไม่ใช่ป้องกันเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง

--คมชัดลึก ฉบับวันที่ 2 ต.ค. 2556 (กรอบบ่าย)--