ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังโรคไข้สุกใสระบาดช่วงฤดูหนาว แต่ละปีพบผู้ป่วย 50,000-90,000 ราย มักพบมากตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม เน้นการดูแลป้องกันตัวเองไม่ให้ป่วย โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ  อาการโรคนี้สังเกตได้ง่าย เริ่มจากไข้สูงปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดและมีตุ่มนูนคันขึ้นที่ไรผมและตามตัว  แนะหากป่วยควรพบแพทย์ เพื่อลดโรคแทรกซ้อนอันตราย

นายแพทย์ณรงค์  สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงที่อากาศหนาวเย็น  โรคที่มีความเสี่ยงจะระบาดได้ง่ายก็คือ โรคอีสุกอีใส (CHICKEN POX) หรือไข้สุกใส เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็นชื้น พบได้ในคนทุกอายุที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรค มีโอกาสเกิดความรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคไข้สุกใสย้อนหลัง 10 ปี ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบต่อปีมีผู้ป่วยโรคนี้ 50,000-90,000 ราย  และมีแนวโน้มจะพบมากขึ้นพบผู้ป่วยมากตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม โรคนี้มักพบระบาดในที่อยู่ร่วมกัน เช่น โรงเรียน โรงงาน ศูนย์เด็กเล็ก เรือนจำ เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้โรคไข้สุกใสเป็น 1 ใน 31 โรคที่ต้องรายงานเมื่อพบผู้ป่วย  เพื่อแยกผู้ป่วยไม่ให้ไปสัมผัสกับผู้อื่น และเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ

นายแพทย์ณรงค์กล่าวอีกว่า ในปี 2556 ทั่วประเทศมีรายงานพบผู้ป่วยโรคไข้สุกใส จำนวน 48,299 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต  พบมากสุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี คิดเป็นร้อยละ 25 รองลงมาคือกลุ่มอายุ 0-4 ปีร้อยละ 23 ส่วนปี 2557 ตั้งแต่ 1-19 มกราคม พบผู้ป่วยแล้ว 2,565 ราย ไม่มีเสียชีวิต  กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันโรค หากมีอาการป่วย ขอให้ไปพบแพทย์ที่สถานบริการสาธารณสุข ใกล้บ้านทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอันตราย และควบคุมโรคไม่แพร่ระบาดยังคนอื่นๆ อีก

ด้าน นายแพทย์โสภณ  เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไข้สุกใสเกิดจากเชื้อไวรัส วาริเซลล่า ซอสเตอร์ (Varicella zoster virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด (Herpes Zoster) เชื้อโรคจะอยู่ในน้ำมูกน้ำลายผู้ป่วย ติดต่อกันโดยการ ไอ จาม หายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัส ตลอดจนการใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยเช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม แก้วน้ำ เป็นต้น อาการของเด็กที่ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ส่วนในผู้ใหญ่มักมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและมีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่มีไข้ ต่อมาผื่นจะกลายเป็นตุ่มนูนมีน้ำใสๆ อยู่ข้างใน มีอาการคัน และตกสะเก็ด ลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่ายว่าเป็นโรคไข้สุกใสก็คือ ผื่นจะขึ้นที่ไรผมก่อน ต่อมาผื่นจะกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจมีตุ่มในปากทำให้ปากลิ้นเปื่อย อาการแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ การติดเชื้อแบคทีเรียที่ตุ่ม  ทำให้ตุ่มกลายเป็นหนองและทำให้มีรอยแผลเป็น เป็นจุดดำๆที่ผิวหนัง

โรคนี้เป็นโรคที่หายเองได้ ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ โดยตุ่มจะตกสะเก็ดและค่อยๆ หายใน 1-3 สัปดาห์ โดยไม่มีแผลเป็น เมื่อป่วยจะต้องหยุดเรียน หยุดงานพักผ่อนที่บ้าน และดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารได้ตามปกติ ควรอาบน้ำ และใช้สบู่ฆ่าเชื้อฟอกผิวหนังให้สะอาดเพื่อป้องกันติดเชื้อแบคทีเรีย  ตัดเล็บให้สั้น หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่ม ถ้ามีไข้สูงให้กินยาพาราเซตามอลลดไข้ วิธีการป้องกันโรคไข้สุกใส ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย และล้างมือบ่อยๆ ไม่ดื่มน้ำแก้วเดียวกันหรือใช้หลอดดูดน้ำร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้ที่เคยเป็นแล้วจะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติไปตลอดชีวิตไม่ต้องฉีดวัคซีนอีก  แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นงูสวัดได้ในภายหลังประมาณร้อยละ 15 หากร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น พักผ่อนน้อย หรือไม่ออกกำลังกาย   เนื่องจากจะมีเชื้อหลบอยู่ที่ปมประสาทของร่างกาย