ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ถ้าเปรียบเทียบปัญหาคนไร้สัญชาติและสถานะบุคคล และกำลังรอพิสูจน์สถานะและสิทธิ ถือเป็นคนไข้ที่ถูกคนบ้านไกลใส่ยาถ่ายให้กินเป็นขวดๆ จนคนไข้เข้าห้องน้ำถ่ายไม่หยุด ต้องใช้ห้องสุขาเป็นเวลายาวนาน แต่แล้วอั๊งม้อคนใจดำซึ่งอ้างว่าเป็นนักบุญเดินทางไกลมาจากฝรั่งเศส...กรุงเทพ..สู่ผืนป่า (เป็น “นักบุญคนบาป” ตัวจริง) นักบุญคนนี้มักอ้างว่าทำบุญ เสียสละเพื่อคนเหล่านี้มาโดยตลอด แต่แท้ที่จริงตนเองทำชั่วมาเกือบร้อยๆ ปี ไม่มีสำนึกผิด แต่พอผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิเข้าห้องน้ำนานไปหน่อย ก็เสียมารยาทมาเคาะประตูไม่รู้เลิก พร้อมกับตะโกนว่า “ออกจากห้องน้ำได้แล้ว” หรือ “เปิดใจกว้างหน่อยซิ...เลิกยึดอำนาจเสียที...นี่พื้นที่ชั้นน่ะ”

ผู้มีปัญหาสถานะบุคคลที่กำลังอยู่ในห้องน้ำเพื่อถ่ายของเสียให้หมดไปจากร่างกายอย่างขะมักเขม้น แต่นักบุญคนบาปมายืนตะโกนให้ออกจากห้องน้ำอย่างเสียมารยาทเช่นนี้  “ขอถาม” อั๊งม้อสายพันธุ์นี้ควรที่จะถูกสรรเสริญหรือประณามกันแน่ ?

ถ้าเปรียบเทียบหมอฮั๋วโต๋วที่ถูกขนานนามว่า คนบาปตีนเปล่าจากภูเขาสูง..ผู้วางตนสงบเสงี่ยมท่ามกลางฝูงหมาป่าแล้ว ..เค้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ผู้คนเหล่านี้ได้รับสิทธิที่ดีขึ้น โดยยึดอำนาจจากระบอบคูซุ่นเส็งที่ขยี้ขยำสิทธิของผู้คนเหล่านี้จนแหลกเหลว การเยียวยาคนไข้และการผ่าตัดผู้คนเหล่านี้ยังไม่รู้ผล แต่อั๊งม้อผู้ไม่หวังดีต่อใคร นอกจากหวังดีต่อตัวเองเท่านั้นก็เข้ามาสาระแนกับการรักษาคนไข้ของคณะหมอฮั๋วโต๋วอย่างจุ้นจ้าน..ไร้ยางอายสิ้นดี

ถ้าจะเปรียบอั๊งม้อทั้งหลายเป็นหมอเช่นกัน  แล้วออกมาโวยวายว่า การรักษาคนไข้สไตล์คณะหมอฮั่วโต๋วนี้ไม่ถูกต้อง ควรใช้รักษาแบบอั๊งม้อจึงจะได้ผล กรณีนี้คนไข้จะเอาอะไรเป็นหลักประกันว่า คำแนะนำของหมออั๊งม้อที่คนทั้งโลกรู้จักดีว่าเป็น “นักบุญคนบาป” และเป็น “ปีศาจในคราบมนุษย์” จะหวังดีต่อคนไข้ที่เป็นผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิให้รอดตายจากโรคภัยไข้เจ็บ? หากหวังดีจริงก็คงไม่เสนอนโยบายแบ่งแยกและควบคุม..เมื่อปี 2543

แท้จริงแล้ว หากคณะหมอฮั่วโต๋วบ้าจี้ตามเสียงออดอ้อน เสียงเล็กเสียงน้อย ที่กำลังบีบน้ำตาอยู่ของหมออั๊งม้อ  ห้ามคนไข้ออกจากห้องไอซียู  แล้วให้มีการชะลอและบอกว่า ไหนๆ แก้ไขปัญหาแล้ว เราแก้ทั้งระบบและให้มีความยั่งยืนเสียเลยทีเดียวจะดีกว่า... รับรองได้ว่า การันตีเต็มร้อย  “ผู้คนเหล่านี้จะไร้สิทธิและไร้ตัวตนต่อไปอีก 5 พันปี”(ประมาณการจากตัวเลขแก้ไขปัญหาผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิของกรมการปกครอง นำเสนอว่าแก้ไขปัญหา 4 ปี (2553-2557) มีคนได้สัญชาติตามม.7 ทวิและต่างด้าวถาวร  538 คนจาก 6.8 แสน เฉลี่ยคนได้สัญชาติปีละ 134.5 คน หากจะแก้ให้ได้สถานะหมดใช้เวลา 5,055 ปี)

หากผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิจะต้องเผชิญปัญหาไร้สิทธิเช่นนี้อีกต่อไปอีก 5,055 ปี นั่นหมายความว่า ผู้คนเหล่านี้จะต้องเวียงว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า หมอฮั่วโต๋วได้แต่แนะนำแนวทางและให้ความหวังแก่ผู้คนเหล่านี้ว่า “ท่านทั้งหลายต้องดำเนินการอย่างจริงจังตามแนวทางนี้น่ะจ๊ะ กล่าวคือ

1.หากอยากได้สัญชาติและสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขต้องรออีก 5 พันปี แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องได้เกิดเป็นมนุษย์ทุกภพชาติ วิธีการคือ ท่านต้องเคร่งครัดรักษาศีลห้าเป็นนิจไม่ให้ขาดแม้แต่ชาติเดียว..ทำได้ไหม ?  2.หากจะให้แก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนถาวรไม่ต้องมาเผชิญปัญหาอีก ท่านทั้งหลายจะต้องฝึกกรรมฐานเพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ”  

เชื่อหรือว่าอั๊งม้อทั้งหลายจะรับผิดชอบในสิ่งที่นักบุญคนบาปแนะนำให้ทำ ? เผลอๆ อั๊งม้อทั้งหลายอาจดีใจจนเนื้อเต้น ที่ผู้คนเหล่านี้ไร้สิทธิ..  และสามารถแบ่งแยกและควบคุมเหล่านี้ไม่ให้กระด้างกระเดื่องต่อไป แบบ “หวานคอปีศาจ” และตนจะได้เสวยสุขในฐานะนักบุญต่อไปได้อีกยาวนานกว่า 5 พันปี

จึงอยากขอร้องให้คณะหมอฮั๋วโต๋วนำคำคมของ “มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” มาพิจารณาคือ “มากหมอมากยา มากเทวดามากพิธีกรรม มากนักวิจารณ์ปากหมา มากข้อขัดแย้ง”

ดังนั้น คนไข้ที่ชื่อผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิเจ็บป่วยอาการแบบไหน?  คณะหมอฮั่วโต๋วรู้ดีแน่ และมีหน้าที่รักษาคนไข้ให้พ้นตายด้วยผีมือของคณะหมอฮั่วโต๋วเอง ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งหมออั๊งม้อที่เป็น “นักบุญคนบาป” ที่มาจากแดนไกล ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งเทวดาที่ใจดำเอาแต่ได้ และไม่จำเป็นต้องไปฟังคำวิจารณ์ไร้ยางอายอีกต่อไป.