ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยพะเยา พัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในการดูแลประชาชน สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ให้ รพศ./รพท. 8 จังหวัดเหนือตอนบนร่วมมือ ม.พะเยาจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หรือหลักสูตรทางวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น โดยให้ รพ.นครพิงค์เป็นแม่ข่าย

15 มิถุนายน 2559 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ศาสตราจารย์พิเศษ มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา ลงนามความร่วมมือในการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับมหาวิทยาลัยพะเยา

นพ.โสภณ กล่าวว่า การลงนามร่วมกับมหาวิทยาลัยพะเยาในครั้งนี้เป็นความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพ เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขศักยภาพเพียงพอต่อการจัดระบบบริการสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง มีคุณธรรม และจริยธรรม และให้ รพ.นครพิงค์ รพ.พะเยา รพ.น่าน รพ.ลำพูน รพ.แพร่ รพ.ลำปาง รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ และ รพ.แม่ฮ่องสอน ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยพะเยาจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หรือหลักสูตรทางวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น โดยให้ รพ.นครพิงค์เป็นแม่ข่าย

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข มีแพทย์ในสังกัดจำนวน 17,727 คน ทันตแพทย์ 4,902 คน เภสัชกร 8,640 คน พยาบาลวิชาชีพ 108,560 คน พยาบาลเทคนิค 4,500 คน แต่ยังพบการขาดแคลนบุคลากรและมีปัญหาการกระจายตัวของบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดขนาดเล็กห่างไกล จึงเร่งผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพทุกสาขาให้มีทักษะและความสามารถเพื่อกลับไปปฏิบัติงานในพื้นที่บ้านเกิด โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศและใช้โรงพยาบาลในสังกัดที่มีศักยภาพเป็นสถานที่ฝึกงาน

ด้าน ศ.พิเศษ มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า การดูแลสุขภาพของประชาชนจะต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะและความสามารถ ซึ่งมหาวิทยาลัยพะเยาตระหนักและเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าวจึงร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพสาขาต่างๆ ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ นักส่งเสริมสุขภาพ นักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ นักการแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนจีน ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขและมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพต่อไป