ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เลขาธิการ สปส. ยืนยัน ต้องปรับเพดานฐานเงินเดือนจาก 1.5 หมื่นบาท เป็น 2 หมื่นบาท เพื่อขยายฐานเงินสมทบ รองรับบำนาญชราภาพในอนาคต ยืนยันกองทุนไม่เจ๊ง มีเงินจ่ายแน่ เพียงแต่อาจไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในอีก 30 ปีข้างหน้า

นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล

นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า ผู้ประกันตนในระบบ สปส.ไม่ต้องกังวลว่ากองทุนประกันสังคมจะไม่มีเงินจ่ายบำนาญชราภาพ ขอยืนยันว่ามีเงินจ่ายอย่างแน่นอน แต่ยอมรับว่ายังมีข้อกังวลในอนาคต โดยเฉพาะการจำกัดเพดานฐานเงินเดือนที่ 1.5 หมื่นบาท จ่ายสมทบ 750 บาท ซึ่งเป็นกรอบดำเนินการมา 25 ปีแล้ว คำถามก็คือหากเก็บเงินในอัตรานี้ต่อไป ในอนาคตอีก 30 ปี ข้างหน้า ผู้ประกันตนจะได้บำนาญชราภาพเดือนละ 3,000 บาท จะพอกินหรือไม่

“ถ้าไม่พอกินก็จำเป็นต้องปรับเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง แต่ขอยืนยันว่าไม่ใช่กองทุนเจ๊ง แต่เราจำเป็นต้องปรับให้ประชาชนมีเงินพอกิน เพราะทุกวันนี้ผู้ประกันตนหลังเกษียณจะได้เงินบำนาญ ประมาณเดือนละ 3,000-7,500 บาท แต่หากมองไปในอนาคตอีก 30-40 ปีข้างหน้า เงิน 3,000 บาท อาจไม่เพียงพอ ฉะนั้น สปส.จึงต้องเตรียมตัวมองไปข้างหน้าเพื่อให้ผู้ประกันตนมีพอกินพอใช้ในอนาคต" นพ.สุรเดช กล่าว

นพ.สุรเดช กล่าวว่า จำเป็นต้องขยายเพดานเงินสมทบ โดยจะค่อยๆ ขยับเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง เบื้องต้นคาดว่าเพดานเงินเดือนจะอยู่ที่ 2 หมื่นบาท จากนั้นจะขยับอย่างไรก็มีสูตรในการคำนวณ ซึ่งจะทำให้เงินสมทบในสัดส่วนลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล ปรับเปลี่ยนไปด้วย

“ตรงนี้อยู่ในข้อเสนอปรับแก้ไขกฎหมาย โดยกระทรวงแรงงานส่งไปถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งก็คงต้องว่ากันไปตามขั้นตอน” นพ.สุรเดช กล่าว

นพ.สุรเดช กล่าวอีกว่า จำเป็นต้องปรับระบบเพื่อให้ประชาชนสามารถมีชีวิตในการทำงาน เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ยาวนานที่สุด ไม่ใช่ทำงานจนถึงอายุ 55 ปี ก็ถูกไล่ออก ทั้งๆ ที่ปัจจุบันประชาชนมีอายุที่ยาวนานขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำงานได้อยู่

“ในต่างประเทศเราจะเห็นว่าเขาจะยืดอายุออกไป แต่หลักใหญ่นั้นไม่ใช่เพื่อกองทุน แต่เพื่อให้คนมีชีวิตในการทำงานยืนยาวขึ้น มีรายได้เพียงพอ ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่ให้กับผู้ประกันตนก็เพียงพอเช่นกัน” นพ.สุรเดช กล่าว