ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ. - สวรส. ผนึกเครือข่าย ร่วมพัฒนาชุดงานวิจัยวัณโรค มุ่งลดการระบาดและอุบัติการณ์ ระบุองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรครุนแรงระดับโลก

แผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ.2560-2564 ระบุถึงสถานการณ์วัณโรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย ในปี พ.ศ.2558 องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรครุนแรงระดับโลก ทั้งวัณโรคทั่วไป วัณโรคและเอดส์ และวัณโรคดื้อยาหลายขนาน โดยในแต่ละปีคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 120,000 รายต่อปี และมีผู้ป่วยเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 12,000 ราย ขณะที่ปัญหาวัณโรคดื้อยาหลายขนาน จะพบประมาณปีละ 2,200 ราย

แม้ว่าประเทศไทยจะมีการดำเนินงานป้องกันและควบคุมวัณโรคอย่างต่อเนื่อง แต่มีปัจจัยบางประการที่ทำให้การดำเนินงานควบคุมป้องกันยากมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น การเคลื่อนย้ายแรงงานเพิ่มขึ้น โดยผลการสำรวจความชุกวัณโรคระดับชาติ ของกรมควบคุมโรค ในปี พ.ศ.2557 พบว่า ประเทศไทยมีอัตราอุบัติการณ์วัณโรค สูงถึง 171 คนต่อประชากร 100,000 คน และผู้ป่วยวัณโรคเกินกว่าครึ่งหนึ่งไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย จึงไม่มารับการรักษาทำให้มีการแพร่เชื้อติดต่อได้ง่าย

จากสถานการณ์ดังกล่าว สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค และ WHO จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาแผนงานวิจัยวัณโรคระดับชาติ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานวิจัย หน่วยงานสนับสนุนการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งมหาวิทยาลัย มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 70 คน ร่วมกำหนดโจทย์งานวิจัยวัณโรคที่สำคัญและสอดคล้องแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ ระหว่างวันที่ 23-25 ส.ค.ที่ผ่านมา ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สำนักจัดการงานวิจัยและประสานโครงการ สวรส. กล่าวบรรยายในหัวข้อกระบวนการพัฒนาโจทย์วิจัยวัณโรคในประเทศไทย ว่า สวรส. มีความตระหนักต่อสถานการณ์วัณโรคของประเทศ โดย สวรส. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดรับข้อเสนองานวิจัยเกี่ยวกับวัณโรคตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 เป็นต้นมา และจากการที่ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ.2560-2564 ซึ่งมีเป้าหมายลดอัตราอุบัติการณ์ของวัณโรคลงร้อยละ 12.5 ต่อปี จาก 171 คนต่อประชากร 100,000 คน ในปี พ.ศ.2557 ให้เหลือ 88 คนต่อประชากร 100,000 คน ภายในปี พ.ศ.2564 และในยุทธศาสตร์ที่ 5 กำหนดให้มีการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการป้องกัน ดูแลรักษา และควบคุมวัณโรค การประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อการวิจัย พัฒนา วินิจฉัย ป้องกัน และรักษาวัณโรค และร่วมกำหนดหัวข้องานวิจัยที่สำคัญที่จะนำไปใช้เป็นกรอบเพื่อประกาศรับข้อเสนอโครงการวิจัยในขั้นถัดไป

ทางด้าน นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล สถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ 5 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ.2560-2564 ต่อ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มาร่วมเป็นประธานด้วยนั้น โดยเสนอให้ สวรส. เป็นหน่วยงานประสานการสนับสนุนงานวิจัย ภายใต้แผนงานวิจัยวัณโรค ตลอดจนติดตามผลการดำเนินงานและเผยแพร่งานวิจัยที่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ เมื่อกระทรวงสาธารณสุข มีการจัดตั้งคณะกรรมการป้องกันและควบคุมวัณโรคแห่งชาติตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคแห่งชาติแล้ว ขอให้มีการพิจารณาจัดตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ 5 พร้อมเสนอให้คณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวรับหัวข้อวิจัยภายใต้แผนงานวิจัยวัณโรคที่พัฒนาขึ้นนี้เป็นแผนงานหลักของคณะอนุกรรมการต่อไป

สำหรับ ผลสรุปจากการประชุมพัฒนาแผนงานวิจัยวัณโรคระดับชาติ ทั้ง 3 วัน เกิดโจทย์วิจัยที่หลากหลายรวมทั้งสิ้น 33 เรื่อง สามารถจัดแบ่งโจทย์วิจัยออกเป็น 5 ด้าน คือ

1.ด้านระบาดวิทยา ที่ประเทศไทยยังต้องการงานวิจัยถึงภาระโรค การกระจายของวัณโรคดื้อยาหลายขนาน การศึกษาผลกระทบจากภาวะโรคร่วม เช่น เบาหวาน ตลอดจนการศึกษาทางระบาดวิทยาร่วมกับการนำเทคนิคของชีววิทยาเชิงโมเลกุล เช่น การหาชนิดของ DNA ไปใช้ติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อวัณโรคดื้อยา เป็นต้น

2.ด้านสหสาขาวิชาชีพ ที่ยังต้องมีการศึกษาถึงต้นทุนของความเจ็บป่วยทั้งทางตรงและทางอ้อมในผู้ป่วยวัณโรคทุกกลุ่ม รวมถึงเพื่อหามาตรการที่มีผลช่วยลดการตีตราและเลือกปฏิบัติในผู้ป่วย

3.ด้านการวิจัยเพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ที่ยังมีความท้าทาย โดยเฉพาะการสนับสนุนให้กลุ่มของผู้ป่วยวัณโรคได้มีโอกาสทำงานกับกลุ่มที่ทำงานทางด้านนโยบาย อะไรคือบทเรียนและประสบการณ์ทำงานของภาคประชาสังคมที่จะสามารถนำมาใช้ในการทำงานวัณโรค

4.ด้านวิจัยระบบสาธารณสุข ที่จะเป็นการช่วยเร่งค้นหาผู้ติดเชื้อวัณโรค การคัดกรอง ตลอดจนการลดอัตราการตาย เช่น พัฒนารูปแบบการบริการให้เกิดการเข้าถึง ในกลุ่มเสี่ยงและประชากรเปราะบาง

และ 5.ด้านชีวการแพทย์ ที่ประเทศไทยยังต้องการนวัตกรรมเพื่อใช้ดำเนินงานวัณโรค เช่น การประเมินผลกระทบของสูตรยาทดลองในผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา เพื่อการปรับขนาดยาให้ได้ผลในการรักษา ตลอดจนมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการควบคุมการติดเชื้อในสถานพยาบาลและชุมชน