ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.เผยเคสเชียงรายพบเพิ่ม 1 รายอายุ 25 ปี รวมติดเชื้อ 4 ราย เป็นเชียงใหม่ 1 ราย เชียงรายอีก 3 ราย ลักลอบเข้าไทยทั้งหมด ด้านปลัด สธ. ย้ำเคสโควิด19 ลักลอบเข้าไทยมาทางเชียงใหม่-เชียงราย ขณะนี้เป็นระยะควบคุมได้ ไม่ต้องปิดสถานที่ – ท่องเที่ยวตามปกติ แต่ขอสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงข่าวความคืบหน้าการติดเชื้อโควิค- 19 ที่พื้นที่ภาคเหนือ ว่า ขณะนี้ในพื้นที่ภาคเหนือมีการติดเชื้อโควิดรวม 4 ราย คือ เชียงใหม่ 1 ราย และ เชียงราย 3 รายจากการหลบหนีเข้าเมืองมาจากฝั่งเมียนมาและไปตามที่ต่างๆ โดยรายแรกเข้ามาอยู่เชียงใหม่ ซึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงหลายอย่าง ส่วนรายที่ 2,3 และ 4 มีความเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อทราบว่าเพื่อนติดเชื้อก็ป้องกันตนเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย และเลี่ยงการไปที่ชุมชน จนในที่สุดก็พบการตรวจเชื้อ อย่างไรก็ตาม จากการหลบหนีเข้ามาทั้ง 4 รายย่อมมีความผิดตามกฎหมาย ขณะที่ในพื้นที่ได้มีการเฝ้าระวัง และตรวจหาผู้เสี่ยงสูงที่สัมผัสผู้ป่วย และผู้เสี่ยงต่ำ โดยทยอยตรวจไป ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบผู้ติดเชื้อจากทั้ง 4 ราย ทั้งนี้ ขอย้ำให้ป้องกันตนเอง เพราะอย่างไรเสียวัคซีนที่ป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด คือการปฏิบัติตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือบ่อยๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุการณ์เชียงใหม่และเชียงรายถือว่า เป็นระยะที่ควบคุมได้ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องปิดสถานที่ใดๆ และยังท่องเที่ยวได้ปกติ เพียงแต่ขอย้ำให้มีมาตรการป้องกันตัวเอง

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า จากผลการสอบสวนสถานการณ์โรคติดเชื้อ covid19 ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา รายแรกที่ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหญิงไทยอายุ 29 ปีแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ และเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมามีแถลงพบผู้ป่วยอีก 2 รายที่จังหวัดเชียงราย คือหญิงอายุ 26 ปีและหญิงอายุ 23 ปี ทั้ง 2 เป็นคนสัญชาติไทย และล่าสุดพบเพิ่มเป็นรายที่ 4 รายงานเมื่อช่วงเช้า (1ธ.ค.) ที่ผ่านมาผลตรวจยืนยันเป็น Covid 19 เช่นเดียวกัน โดยเป็นหญิงไทยอายุ 25 ปีทั้งหมดติดเชื้อมาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา มาจากสถานที่ทำงานเดียวกัน

โดยในส่วนรายที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. โดยกลับมาจากเมียนมาหลังจากป่วย ซึ่งมาถึงวันที่ 24 พ.ย. ขณะนี้อาการปกติ รับประทานอาหารได้ ไม่มีอาการรุนแรงแต่อย่างใด สำหรับการพบผู้ป่วยรายแรกนี้ เป็นผลให้เพื่อนที่ทำงานในสถานบริการเดียวกันในเมียนมาทราบข่าวและเดินทางกลับมา โดยในจังหวัดเชียงราย มีรายแรกอายุ 26 ปี กลับมาไทยวันที่ 27 พ.ย. มาตามช่องทางธรรมชาติเช่นเดียวกันโดยมีเพื่อนชาวไทยร่วมด้วย 1 คน ซึ่งก็คือหญิงอายุ 23 คนที่ป่วยเชียงรายอีกรายนั่นเอง โดยทั้งหมดปัจจุบันรักษาตัวที่รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ส่วนรายที่ 4 เป็นรายล่าสุด ซึ่งกลับจากเมียนมา ทำงานที่ท่าขี้เหล็ก แต่ไม่ได้มาพร้อมกับ 3 รายแรก

"สำหรับหญิงไทยอายุ 25 ปี ซึ่งเป็นรายล่าสุดที่ผลตรวจยืนยันเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเพราะว่าติดเชื้อโควิดนั้น มี เมื่อต้นเดือนพ.ย. 63 เดินทางไปทำงานที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาพร้อมเพื่อน 2 คนไม่มีอาการป่วย ต่อมาวันที่ 24 พ.ย.เดินทางมาตามช่องทางธรรมชาติ พร้อมเพื่อน 2 คน ที่อำเภอแม่สาย มีการสวมหน้ากากตลอด วันที่ 24 -27 พ.ย.เข้ามาพักที่โรงแรมในอำเภอแม่สายไม่ได้ออกจากห้องพักไปไหนและมีการสั่งอาหารจาก Grab วันที่ 28-30 พ.ย.63 ย้ายมาพักที่โรงแรมในเขตอำเภอเมืองเชียงราย มีการประสานเจ้าหน้าที่ขอมารับการตรวจ และวันที่ 30 พ.ย. 63 เข้าไปรับการกักตัวที่กองร้อยอส.ได้ทำการตรวจโควิด เป็นบวกและส่งมารับรักษาที่รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ส่วนผู้สัมผัสรายนี้มีเพียงเพื่อนที่เข้ามาด้วยกัน 2 คนที่เสี่ยงสูง ตรวจแล้วไม่พบเชื้อแต่ยังต้องเฝ้าระวัง และตรวจเชื้ออีกครั้ง" นพ.โสภณ กล่าวว่า

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เคสที่พบที่เชียงรายนั้น เนื่องจากเป็นการตรวจเชื้อพบในระยะแรกทำให้เจอปริมาณเชื้อในระบบทางเดินหายใจค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีการสวมหน้ากากและการอยู่ในที่พัก จึงหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้ ซึ่งแตกต่างจากจังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อพิจารณาถึงการดำเนินงานของหน่วยงานในพื้นที่ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลความเรียบร้อยของโควิด-19 เช่น ระบบสาธารณสุขสามารถติดตามค้นหาผู้สัมผัสได้อย่างรวดเร็วนำมาสู่การตรวจวินิจฉัย อีกทั้งร้านค้าผู้ประกอบการให้ความร่วมมือดีในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรค ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองก็มีการตรวจตราและป้องปรามการเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายมากขึ้น เชื่อว่าด้วยมาตรการเหล่านี้จะสามารถป้องกันการแพร่เชื้อต่อในพื้นที่ได้ ล่าสุดประชาชนในพื้นที่ก็มีความตระหนักมีการสวมหน้ากากอนามัยในเปอร์เซ็นต์ที่มากขึ้นจากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 80 ย้ำว่าสถานการณ์ในช่วงนี้ยังเป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศยังไม่มีการติดเชื้อในประเทศไทยแต่อย่างใด

เมื่อถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นเคสจังหวัดเชียงใหม่ต้องระวังเป็นพิเศษกว่าหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า จริงๆ เคสเชียงใหม่ที่ต้องระวังมี 4 รายที่เสี่ยงสูง ซึ่งหาก 4 รายนี้ไม่ติดเชื้อและมีการเฝ้าระวังจนครบและไม่พบเชื้อเลยก็แสดงว่า โอกาสการจะแพร่เชื้อไปคนอื่นๆจะลดลง ซึ่งผลตรวจเชื้อรอบแรกออกมาไม่พบเชื้อ และในวันนี้(1 ธ.ค.) จะเริ่มตรวจเชื้อรอบสอบใน 4 คนนี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายล่าสุดที่เชียงราย ซึ่งเป็นผู้หญิงอายุ 25 ปีนั้นก็เช่นกัน จะต้องตรวจเชื้อผู้ใกล้ชิดที่เสี่ยงสูงมี 2 คน คือ เพื่อนที่เดินทางมาด้วยกัน ผลตรวจเชื้อรอบแรกไม่พบ แต่จะต้องมีการตรวจเชื้อซ้ำอีกครั้ง และเฝ้าระวังต่อไป แต่ข้อดีอย่างคือ ทั้ง 3 รายหลังที่เป็นเคสเชียงรายไม่ได้มีการออกไปยังแหล่งชุมชน และส่วนใหญ่อยู่แต่ในโรงแรม