ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

สปสช.เตรียมหารือผู้ปฏิบัติหน้างานคลินิกชุมชนอบอุ่น และ รพ.ปมปัญหาใบส่งตัว หลังผ่านมาเกือบ 2 เดือนยังมีปัญหาคนกทม.ไม่ได้รับความสะดวก ตั้ง คกก.ตรวจสอบสวนชุดพิเศษ หาข้อเท็จจริง  “คลินิก” ละเลย ไม่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนจริงหรือไม่ เตรียมข้อมูลทั้งหมดเสนอ รมว.สาธารณสุขคนใหม่พิจารณา

 

ตั้งคณะกรรมการสอบสวนชุดพิเศษปมใบส่งตัวบัตรทองกทม.

เมื่อวันที่ 30 เมษายน นพ.จเด็จ  ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาข้อร้องเรียนของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร กรณีความไม่สะดวกในเรื่องการขอใบส่งตัวจากคลินิกชุมชนอบอุ่น เพื่อนำไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ที่มีการปรับรูปแบบการจัดสรรเงินให้คลินิกชุมชนอบอุ่นที่เรียกว่าโมเดล 5 ใหม่ (OP New Model 5) ว่า ล่าสุดได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนชุดพิเศษขึ้นมา 1 ชุด เนื่องจากยังมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาที่สปสช. ดังนั้น ด้วยอำนาจตามกฎหมายของสำนักงานฯ จึงต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา หากพบว่าเป็นจริงตามข้อร้องเรียน ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย  

เคลียร์ปัญหาช่วยบัตรทองกทม. 1 เดือนเสร็จ

“ เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ได้นำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข พิจารณาเรื่องนี้ และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน จากนั้นตามขั้นตอนก็จะเสนอเข้าบอร์ดสปสช.  ถึงแม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงใกล้เปลี่ยนผ่านบอร์ดสปสช. แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน” นพ.จเด็จกล่าว

ย้ำ! ร้องเรียนต้องมีหลักฐาน ผู้ร้อง มีตัวตนพร้อมเป็นพยาน

ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนเท่าไหร่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า ทุกวันนี้เข้ามาวันละ 20-30 รายผ่านช่องทางสายด่วนสปสช. 1330 แต่ที่ยังไม่ร้องเรียนเข้ามา มีอีกมาก โดยข้อร้องเรียนหลักๆ ตั้งแต่คลินิกไม่ส่งตัว เรียกคนที่เคยได้ใบส่งตัวกลับมา หรือร่นระยะเวลาการส่งตัวลง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เข้าข่ายไม่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม เรื่องร้องเรียนทั้งหมดจะนำเข้าสู่การพิจารณาได้นั้น 1.ผู้ร้อง ต้องมีตัวตนจริง เปิดเผยชื่อได้ ติดต่อได้ พร้อมมาเป็นพยานได้ และ 2.ต้องมีชื่อคลินิก หรือหน่วยบริการที่ถูกร้องเรียนอย่างชัดเจน สิ่งสำคัญต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่บัตรสนเท่ห์

 

เตรียมหาคลินิกใหม่รองรับ หากผิดจริง

 

เมื่อถามว่าขณะนี้มีประชาชนบางส่วนกังวลว่า หากร้องเรียนคลินิก สุดท้ายจะไม่มีที่รับการรักษา  นพ.จเด็จ กล่าวว่า สปสช.เตรียมพร้อมเรื่องนี้ โดยประสานและเตรียมคลินิก หรือหน่วยบริการมารองรับ เพราะประชาชนที่เจอปัญหาตอนนี้ แม้ไปคลินิกเดิมก็ไม่ได้รับความสะดวกอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากไป  ซึ่งสปสช.สื่อสารกับคลินิกตลอด เนื่องจากงบประมาณได้โอนไปให้คลินิกตามรูปแบบการจัดสรรเงินใหม่ การที่คลินิกบางแห่งกังวลเรื่องเงินว่า จะไม่พอในการไปตามจ่าย ทำให้ไม่ยอมส่ง แบบนี้ไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อประชาชน

ถามต่อว่าหากมีการหาคลินิกหรือหน่วยบริการใหม่ จะไม่ใกล้บ้านประชาชน  ต้องทำอย่างไรให้ได้รับความสะดวก นพ.จเด็จ กล่าวว่า กำลังพยายาม เพราะทั้งหมดอยู่ในเครือข่ายของศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.69 แห่ง เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนโมเดล 5 ผู้ที่เป็นเมนหลัก คือ ศูนย์บริการสาธารณสุข โดยตนได้หารือร่วมกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.แล้ว 

“ขอย้ำว่า สปสช.ไม่ได้ต้องการใช้มาตรการเช่นนี้กับทางคลินิก แต่เรื่องนี้อยู่ในกฎหมาย เพราะก่อนหน้าเราได้ประสานขอความร่วมมือตลอด ส่งจดหมาย สื่อสารทางตรงทางอ้อมเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบแล้วพบว่าคลินิกผิดจริง ก็มีมาตรการตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน ส่งเรื่องสภาวิชาชีพ จนสุดท้ายยกเลิกสัญญา” เลขาธิการสปสช.กล่าว

ยังไม่เปลี่ยนโมเดลจ่ายเงิน แต่กำลังคิดสูตรใหม่แบบสมดุล

เมื่อถามว่าหากปัญหายังมีเรื่อยๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงิน หรือเปลี่ยนโมเดลอีกครั้ง นพ.จเด็จ กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ว่าแค่ 2-3 เดือนจะปรับเปลี่ยน เราก็ต้องขอความร่วมมือก่อน ว่า ต้องทำอย่างไรให้สมดุล กำลังคิดสูตรใหม่ที่เป็นกลางๆ ระหว่างส่วนหนึ่งแบบเดิม กับส่วนที่เป็นแบบใหม่ หรือให้ประชาชนมีส่วนตัดสินใจด้วยตัวเองได้หรือไม่ และพิสูจน์หน้างานว่า ส่งตัวไปอย่างสมเหตุสมผลก็ไม่ควรเรียกกลับมาอีก 

ถามอีกว่าทั้งหมดเตรียมเสนอรัฐมนตรีว่าการสธ.ท่านใหม่ด้วยหรือไม่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า ใช่ เพราะรัฐมนตรีท่านเดิมก็รับทราบปัญหาและลงมาช่วยดู ตนเชื่อว่า รัฐมนตรีท่านใหม่ก็จะมาช่วยดูเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งสปสช.เตรียมข้อมูลแล้ว 

“จริงๆโมเดลการจ่ายเงินต่างๆ ก็ปรับมาตลอด มีการปิดจุดอ่อนในอดีต มองในแง่ดีก็มีพัฒนาการไปเรื่อยๆ ผนวกกับอนาคตจะมีเรื่องบัตรประชาชนใบเดียวไปที่ไหนก็ได้ ซึ่งผู้ที่กำหนดว่าจะไปที่ไหน คือ ประชาชน หากตัดสินใจว่าอาการหนักจริงๆ โดยทฤษฎีไม่ควรเรียกเขากลับมาเอาใบส่งตัวอีก จริงๆที่ผ่านมาเราพูดคุยกับเจ้าของ ผู้บริหารคลินิกล้วนเข้าใจหมด แต่มีประเด็นว่าเป็นเรื่องหน้างาน ดังนั้น เร็วๆนี้ สปสช.จะเชิญผู้ที่อยู่หน้างานมาทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วย ซึ่งไม่ใช่แค่คลินิก แต่รพ.ผู้รับส่งตัวด้วย ” นพ.จเด็จกล่าว

 

ขอให้มั่นใจเบิกเงินได้ แม้ไม่มีใบส่งตัว

ถามต่อว่ารพ.หลายแห่งกังวลว่า ถ้าไม่มีใบส่งตัวจะเบิกเงินกับสปสช.ไม่ได้ นพ.จเด็จ กล่าวว่า เราสร้างความมั่นใจตลอด จริงๆโทรสอบถามสปสช.ได้ เพื่อยืนยันเรื่องนี้ เพราะระบบของสปสช.ในส่วนผู้ป่วยที่ไม่มีใบส่งตัวไปนั้น ระบบมีมาก่อนระยะหนึ่งแล้วประมาณปี 2565 เพียงแต่ยืนยันว่าสนับสนุนให้ประชาชนรักษาใกล้บ้าน ยกเว้นอาการที่จำเป็นต้องส่งตัว และขออย่าเอาใบส่งตัวเพื่อวัตถุประสงค์เรื่องเงินมาเป็นประเด็น ซึ่งที่ผ่านมาเรามองว่าที่รพ.ต้องการใบส่งตัว อาจเพราะต้องการรู้ประวัติผู้ป่วยมากกว่า และในอนาคตหากมีการเชื่อมข้อมูลประเด็นใบส่งตัวเพื่อทราบประวัติผู้ป่วยก็จะหมดไป