ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

วันนี้ (25 มิถุนายน 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ความคืบหน้าโครงการเงินกู้ดีพีแอล ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนในส่วนที่มีความจำเป็นว่าได้ดำเนินการเสนอไปแล้ว โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจ โดยให้จัดกลุ่มตามอันดับความจำเป็น และเสนอผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอน เรื่องดังกล่าวนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเน้นที่ความจำเป็น

นายวิทยากล่าวต่อว่า ความคืบหน้าในเรื่องนี้ วันนี้น่าจะส่งเรื่องที่กล่าวมาไปที่คณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงการคลังแล้ว หากผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองแล้ว ก็สามารถนำเข้าครม.ได้เลย แต่เนื่องจากกรณีนี้เป็นเงินกู้ ไม่ใช่เงินงบประมาณ เพราะฉะนั้นถ้าคณะกรรมการกลั่นกรองฯมีความเห็นชอบ ก็จะเห็นได้ชัดว่าคณะกรรมการฯเห็นความสำคัญตามความเห็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ และนำเข้าครม.ต่อไป

“ในส่วนงบประมาณ 3,600 ล้านบาท เป็นเรื่องเก่าที่จะเสนอขอกู้เงินในโครงการไทยเข้มแข็ง แต่ว่ามติที่ครม.จะเห็นชอบต่อไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการ ในเบื้องต้นได้ให้กระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองขึ้นมา 1 ชุด และได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่ามีความเร่งด่วน 2,000 กว่าล้านบาท และในจำนวนนี้ได้ให้คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้เรื่องที่มีความจำเป็นจริงๆ แต่เนื่องจากว่าได้มีการจัดซื้อจัดจ้างก่อนที่ผมจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นอย่าพยายามมองว่ารัฐบาลจะดำเนินการเพื่อผลประโยชน์หรือไม่อย่างไร ขอให้เข้าใจคณะรัฐบาลให้ตรงด้วยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในอดีต ” นายวิทยากล่าว

นายวิทยา กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรี ต้องการให้กระทรวงสาธารณสุข พิจารณาในรายละเอียดที่จะให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น รวมทั้งเรื่อง 3 กองทุน เรื่องสิทธิ 3 สิทธิ ก็เป็นหนึ่งในนโยบาย 30 บาทในทศวรรษที่ 2 ที่จะต้องทำต่อไป ซึ่งมีบางองค์ประกอบร่วมกัน กรณีโครงการ 30 บาทในทศวรรษที่ 2 สถานบริการต้องเน้นเรื่องคุณภาพ และไปใช้สิทธิที่ไหนก็ได้ ซึ่งแต่เดิมสิทธิอยู่ที่เดียวที่ตนเองมีสิทธิ แต่ตอนนี้สิทธิจะย้ายตามตนเองได้ ซึ่งแต่เดิมจะย้ายไม่ได้ เจ็บป่วยฉุกเฉินเข้าได้ทุกที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้น เพราะฉะนั้นโครงการ 30 บาทยุคใหม่ต้องดีกว่าเดิม รวมทั้งทั่วถึงและมีคุณภาพ จ่ายค่าธรรมเนียม 30 บาท เฉพาะที่ต้องรับยา ส่วนเงื่อนไขอื่นผู้ที่ไม่เสียก็ได้รับการยกเว้นเช่นเดิม เช่น ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี รวมถึงผู้พิการด้วย และจะไม่กระทบต่อสิทธิของพี่น้องประชาชนอื่นๆวันนี้ (25 มิถุนายน 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ความคืบหน้าโครงการเงินกู้ดีพีแอล ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนในส่วนที่มีความจำเป็นว่าได้ดำเนินการเสนอไปแล้ว โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจ โดยให้จัดกลุ่มตามอันดับความจำเป็น และเสนอผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอน เรื่องดังกล่าวนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเน้นที่ความจำเป็น

นายวิทยากล่าวต่อว่า ความคืบหน้าในเรื่องนี้ วันนี้น่าจะส่งเรื่องที่กล่าวมาไปที่คณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงการคลังแล้ว หากผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองแล้ว ก็สามารถนำเข้าครม.ได้เลย แต่เนื่องจากกรณีนี้เป็นเงินกู้ ไม่ใช่เงินงบประมาณ เพราะฉะนั้นถ้าคณะกรรมการกลั่นกรองฯมีความเห็นชอบ ก็จะเห็นได้ชัดว่าคณะกรรมการฯเห็นความสำคัญตามความเห็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ และนำเข้าครม.ต่อไป

“ในส่วนงบประมาณ 3,600 ล้านบาท เป็นเรื่องเก่าที่จะเสนอขอกู้เงินในโครงการไทยเข้มแข็ง แต่ว่ามติที่ครม.จะเห็นชอบต่อไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการ ในเบื้องต้นได้ให้กระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองขึ้นมา 1 ชุด และได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่ามีความเร่งด่วน 2,000 กว่าล้านบาท และในจำนวนนี้ได้ให้คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้เรื่องที่มีความจำเป็นจริงๆ แต่เนื่องจากว่าได้มีการจัดซื้อจัดจ้างก่อนที่ผมจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นอย่าพยายามมองว่ารัฐบาลจะดำเนินการเพื่อผลประโยชน์หรือไม่อย่างไร ขอให้เข้าใจคณะรัฐบาลให้ตรงด้วยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในอดีต ” นายวิทยากล่าว

นายวิทยา กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรี ต้องการให้กระทรวงสาธารณสุข พิจารณาในรายละเอียดที่จะให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น รวมทั้งเรื่อง 3 กองทุน เรื่องสิทธิ 3 สิทธิ ก็เป็นหนึ่งในนโยบาย 30 บาทในทศวรรษที่ 2 ที่จะต้องทำต่อไป ซึ่งมีบางองค์ประกอบร่วมกัน กรณีโครงการ 30 บาทในทศวรรษที่ 2 สถานบริการต้องเน้นเรื่องคุณภาพ และไปใช้สิทธิที่ไหนก็ได้ ซึ่งแต่เดิมสิทธิอยู่ที่เดียวที่ตนเองมีสิทธิ แต่ตอนนี้สิทธิจะย้ายตามตนเองได้ ซึ่งแต่เดิมจะย้ายไม่ได้ เจ็บป่วยฉุกเฉินเข้าได้ทุกที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้น เพราะฉะนั้นโครงการ 30 บาทยุคใหม่ต้องดีกว่าเดิม รวมทั้งทั่วถึงและมีคุณภาพ จ่ายค่าธรรมเนียม 30 บาท เฉพาะที่ต้องรับยา ส่วนเงื่อนไขอื่นผู้ที่ไม่เสียก็ได้รับการยกเว้นเช่นเดิม เช่น ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี รวมถึงผู้พิการด้วย และจะไม่กระทบต่อสิทธิของพี่น้องประชาชนอื่นๆ