ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมเชิงนโยบายการพัฒนาศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ Medical Hub กำหนดแนวทางการพัฒนา 4 ด้าน มุ่งพัฒนาวงการแพทย์ของไทยให้เป็นศูนย์กลางการบริการด้านสุขภาพ เดินหน้าตั้งคณะทำงานพิจารณารายละเอียดตามนโยบายและหลักการ

วันนี้ (9 พ.ค.56) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเชิงนโยบาย เรื่อง การพัฒนาศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า รัฐบาลจะบูรณาการวงการแพทย์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพัฒนาวงการแพทย์ของไทยให้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาด้านสุขภาพ ซึ่งวันนี้จะมีการทำงานอย่างบูรณาการเพื่อวางยุทธศาสตร์ให้เป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อน ต่อยอดให้เกิดความสำเร็จ ให้เกิดการเชื่อมโยงอย่างเต็มที่ รวมทั้งเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณลงในแต่ละที่มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ ซึ่งในส่วนยุทธศาสตร์ของประเทศ รัฐบาลอยากเห็นการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศในด้านสุขภาพด้วยการเติมเต็มขั้นพื้นฐานของสุขภาพ ดูแลยกระดับมาตรฐานการดูแลด้านสุขภาพต่าง ๆ ดูแลสุขภาพในเชิงของการท่องเที่ยว รวมทั้งการต่อยอดในการสร้างอาชีพ และการพัฒนาให้เกิดความเป็นเลิศในศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ ทั้งนี้ ได้กำหนดแนวทางการพัฒนา Medical Hub เป็น 4 ด้านคือ 1. เป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ Wellness Hub ที่เป็นการบริการอย่างครบวงจร 2. เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพ Medical Service Hub ที่ต่อยอดกับระบบสปา ระบบการทำงานเพื่อสร้างสุขภาพ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทยและเป็นจุดหนึ่งที่หลายประเทศเข้ามาใช้บริการ 3. เป็นศูนย์กลางการศึกษา วิชาการและงานวิจัย Academic Hub ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และ 4. เป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ Product Hub

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าสังคมไทยกำลังจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงควรหาแนวทางรองรับเรื่องสังคมผู้สูงอายุของไทย โดยหากมองถึงกองทุนหลักประกันสุขภาพก็จะพบว่าต้นทุนด้านการรักษาสุขภาพนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นควรกลับไปพิจารณาถึงสาเหตุของโรคเพื่อให้มีการแก้ไขที่ต้นทาง ซึ่งหากร่วมกันคิดหาแนวทางตั้งแต่วันนี้และบูรณาการร่วมกันในการพัฒนาแผนการแพทย์ ก็เชื่อว่าจะสามารถวางยุทธศาสตร์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวงการแพทย์ได้มากขึ้น ขณะที่ในเรื่องการขาดแคลนบุคลากรแพทย์ พยาบาล และเครื่องมือทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นในหน่วยงานภาครัฐก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการหารือถึงทิศทางแผนพัฒนากันให้ชัดเจนเพื่อให้มีการวางแผนระยะยาวต่อไป

จากนั้น ที่ประชุมรับทราบยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการปรับปรุงกรอบแผนยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ รองรับยุทธศาสตร์ประเทศไทย พ.ศ. 2557-2561 โดยได้มีการทบทวนความเป็นมา วิเคราะห์ศักยภาพของประเทศ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคของประเทศ ผลกระทบที่จะเกิดกับระบบบริการสุขภาพของประเทศ ตลอดจนข้อเสนอของหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) รองรับยุทธศาสตร์ประเทศไทย พ.ศ. 2557-2561 มีวิสัยทัศน์ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพนานาชาติภายใน 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2557-2561) มีจุดมุ่งหมายมุ่งพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพนานาชาติ โดยใช้ทรัพยากรสุขภาพ และทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่จำกัด ให้เกิดความคุ้มค่า จนสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศได้อย่างแท้จริง

ในวาระเพื่อพิจารณา ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอการพัฒนาศูนย์กลางการศึกษา วิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล เรื่อง Medical Hub และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ที่นำเสนอโดยนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งที่ประชุมได้มีความเห็นร่วมกันให้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณารายละเอียดตามนโยบายและหลักการ โดยมี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ ร่วมเป็นคณะทำงานพิจารณารายละเอียด สำหรับในส่วนของการพัฒนา Service Hub เพื่อความเป็นเลิศในด้านบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เห็นควรให้โรงเรียนแพทย์ต่าง ๆ ซึ่งมีกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) เป็นแกนหลักได้หารือทิศทางการพัฒนาร่วมกันก่อนที่จะหารือร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดทำข้อเสนอต่อฝ่ายนโยบายพิจารณาต่อไป ขณะที่ในส่วนของ Wellness Hub เรื่องการจัดบริการสปา การส่งเสริมสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาฝีมือแรงงาน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบการต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชน กระทรวงสาธารณสุขจะได้ประสานการหารือเรื่องการพัฒนา รวมทั้งในส่วนของ Product Hub การเป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.อาหาร และ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง กระทรวงสาธารณสุขจะได้ดำเนินการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องหารือเพื่อจัดทำข้อเสนอต่อไป