ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ชมรมพิทักษ์สิทธิข้าราชการได้จัดสัมมนาเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดจากการกำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายาสำหรับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยกรมบัญชีกลาง และเรียกร้องให้รัฐบาลเพิกถอนประกาศดังกล่าวฯ เพื่อรักษาสิทธิตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับข้าราชการและครอบครัว ณ สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต             

พลตรีหญิงพูลศรี เปาวรัตน์ ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ กล่าวว่า “แนวทางกำหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายาสำหรับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการฉบับลงวันที่ 1 ต.ค. 2556 นี้ ส่งผลกระทบในคุณภาพและประสิทธิผลในการรักษาของผู้ป่วย อันจะเป็นผลให้เกิดสภาวะแทรกซ้อนของโรค รวมทั้งเพิ่มโอกาสฟ้องร้องระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย เพราะยาที่ผลิตในประเทศไทยบางโรค ยังไม่สามารถทดแทนยาต้นแบบที่มีคุณภาพทัดเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคที่เกิดจากสภาวะการเสื่อมของร่างกาย เช่น  อาการโรคสมองเสื่อม โรคจิตเภท โรคลมชัก โรคมะเร็ง  โรคติดเชื้อ ล้วนต้องการยาที่มีคุณภาพในการชลอความเสื่อมของโรค เพื่อไม่ให้ เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและครอบครัวของผู้ป่วย ซึ่งจะเป็นภาระต่อสังคมโดยส่วนรวมต่อไป”

ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลรัฐจะไม่แสวงหาผลกำไร แต่ยังคงมีรายจ่ายที่จะต้องบริหารจัดการ  ซึ่งอัตราเบิกจ่ายค่ายาตามประกาศกรมบัญชีกลางฉบับใหม่นี้ จะทำให้โรงพยาบาลของรัฐมีส่วนต่างของกำไรค่ายาน้อยลง ทำให้ยาต้นแบบไม่สามารถจะคงอยู่ในบัญชียาของโรงพยาบาล ถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิของผู้ป่วย  ที่จะมีโอกาสได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ

ปัจจุบันนี้ รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ป่วยสูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี งบประมาณด้านสาธารณสุขจึงไม่ควรถูกจำกัดมากจนเกินไป เนื่องจากประชากรผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น อีกทั้งประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน นโยบายด้านสาธารณสุขจึงควรมีความก้าวหน้าและทันสมัยทั้งนวัตกรรมการแพทย์และยารักษาโรค เพื่อเปิดโอกาสในการแข่งขัน  ตามนโยบายศูนย์กลางสุขภาพครบวงจร (medical hub)

ทางชมรมฯ จึงขอให้รัฐบาลเพิกถอนประกาศฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ ทางชมรมฯ มั่นใจว่าโรงพยาบาลรัฐล้วนแต่มีการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐบาลควรนำระบบสาระสนเทศมาใช้เพื่อหาสมดุลด้านระบบสาธารณสุขให้มีความคุ้มค่า มีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และส่งประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย รวมไปถึงการยกเลิกการจำกัดสิทธิของแพทย์หรือผู้ป่วย ที่จะได้รับการรักษาด้วยยาต้นแบบ และนวัตกรรมใหม่ โดยแพทย์จะเป็นผู้ใช้วิจารณญาณในการรักษาที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยรายนั้นเอง