ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรค เผยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เร่งรัดนำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีนเอชพีวี) มาใช้ในไทยโดยเร็ว ล่าสุดเสนอเรื่องนี้ไปยัง อย.ในฐานะเลขานุการ อนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อให้พิจารณานำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกอยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ เนื่องจากหน่วยบริการจะสามารถใช้วัคซีนได้เฉพาะที่อยู่ภายใต้บัญชียาหลักแห่งชาติ พร้อมเตรียมเริ่มในกลุ่มเป้าหมาย 4 แสนคนทั่วประเทศ 

วันที่ 2 พฤษภาคม 2559 ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค อาทิ พญ.สุจิตรา นิมมานนิตย์นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ, รศ.นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์, ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา, ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ, ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ, ผู้แทนสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย, ผู้แทนสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และผู้แทนราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ร่วมประชุมปรึกษาหารือ และติดตามความก้าวหน้าในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค  รวมถึงการนำวัคซีนใหม่มาใช้ในประเทศไทย    

นพ.อำนวย กล่าวว่า ในวันนี้ เป็นการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่กำหนดชนิดวัคซีนและตารางการให้วัคซีนที่เหมาะสมสำหรับประชากรไทยได้มีมติเห็นชอบ แนะนำให้นำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีนเอชพีวี) มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโดยเร็ว เนื่องจากเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ได้รับการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี มีความครอบคลุมการได้รับวัคซีนของกลุ่มเป้าหมายในเกณฑ์ดี ไม่มีอาการภายหลังได้รับวัคซีนที่รุนแรง และไม่ส่งผลกระทบต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในพื้นที่

ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค ได้เร่งรัดดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เสนอเรื่องนี้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในฐานะเลขานุการ อนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อให้พิจารณานำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกอยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ เนื่องจากหน่วยบริการจะสามารถใช้วัคซีนได้เฉพาะที่อยู่ภายใต้บัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ 

และได้ประสานไปยังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อพิจารณาเตรียมการวางแผนสนับสนุนวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก(วัคซีนเอชพีวี) ในโอกาสที่เหมาะสมโดยเร็ว และให้ประชาชนในกลุ่มเป้าหมายได้รับการป้องกันจากโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งขณะนี้ สปสช. ได้จัดทำคำของบประมาณปี 2560 เพื่อรองรับการให้บริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีนเอชพีวี) อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีนเอชพีวี) ในบัญชียาหลักแห่งชาติเสียก่อน นอกจากนี้ ยังจะหารือเรื่องวัคซีนอื่นๆ ที่จะนำเข้าในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เช่น วัคซีนโรต้า เป็นต้น 

นพ.อำนวย กล่าวว่า สำหรับโรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งเต้านม จากสถิติโรคมะเร็งในประเทศไทยมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 6,400 รายต่อปี และเสียชีวิตประมาณ 3,000 รายต่อปี สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาหรือเชื้อเอชพีวี (Human papilloma virus – HPV) ซึ่งคาดว่าประเทศไทย จะนำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีนเอชพีวี) มาใช้ทั่วประเทศในระยะอันใกล้นี้ และวัคซีนชนิดนี้สามารถเริ่มให้ได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี สำหรับประเทศไทยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค แนะนำให้ฉีดในเด็กหญิงที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.5 ซึ่งถือเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุดในการได้รับวัคซีนและสอดคล้องตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนหญิงประมาณ 400,000 คนทั่วประเทศ หากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422