ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงดิจิทัลฯชี้ แอปฯอสม.ออนไลน์เป็นตัวอย่างที่ดีในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล อีกทั้งช่วยเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) แก่ประชาชน พร้อมย้ำจุดยืนยินดีสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในด้านสุขภาพ

ผศ. (พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะกรรมการตัดสินโครงการประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปี 3 เปิดเผยว่า โครงการประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปี 3 ซึ่งประกาศผลรางวัลไปเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2562 นี้ เห็นถึงพัฒนาการใน 2 แง่มุมคือ 1.ผู้ใช้งานแอปฯสามารถใช้งานได้คล่องขึ้น และ 2.เห็นการเติบโตการใช้แอปฯที่ดี จากปีแรกมีผู้ใช้ไม่กี่พันคนแต่ปัจจุบันมีผู้ใช้นับแสนคนแล้วอีกทั้งเป็นการใช้งานอย่างสม่ำเสมอด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับทางบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอสในฐานะผู้พัฒนาแอปฯดังกล่าวว่ามาถูกทางแล้วและอยากให้ทำโครงการดี ๆ แบบนี้กับประชาชนไทยต่อไป

นพ.พลวรรธน์ กล่าวอีกว่า กระทรวงดิจิทัลฯ มีตัวเลขที่่น่าสนใจว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในด้านความรอบรู้ทางด้านดิจิทัลหรือ Digital Literacy ประมาณ 50% โดยประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองสามารถใช้งานเทคโนโลยีได้ 98-100% แต่พอออกจากเขตเมืองไปแค่ไม่กี่กิโลเมตรตัวเลขกลับลดเหลือเพียงครึ่งเดียว หรือหากดูจากจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในครัวเรือนพบว่าในเขตเมืองมีแทบทุกหลังคาเรือน แต่ในพื้นที่รอบนอกใน 4 หลังคาเรือนจะมีคอมพิวเตอร์เพียง 1 หลังคาเรือนเท่านั้น จึงต้องเข้าใจก่อนว่าในเมืองกับชนบทแตกต่างกันสิ้นเชิง ซึ่งโครงการแอปฯ อสม.ออนไลน์นี้เป็นกรณีที่ดีที่ช่วยให้ผู้คนมี Digital Literacy มากขึ้น

ขณะเดียวกัน หากจัด category ของข้อมูลที่มีบนแอปฯอสม.ออนไลน์แล้วจะพบว่าส่วนใหญ่ที่เห็นชัดคือเรื่องข้อมูลสุขภาพ ซึ่งช่วยในเรื่องการเพิ่มความรอบรู้ทางด้านสุขภาพหรือ Health Literacy ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็น Win Point ของแอปฯอสม.ออนไลน์มาตลอด 3 ปีนี้

"สโคปของเนื้อหาในแอปฯมันช่วยในเรื่อง Health Advisor เป็น Care Given เป็น Care Taker ทั้งหมดซึ่งประเทศไทยยังขาดตรงนี้ เราไม่ได้ขาดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ แต่เราขาดการทำเรื่อง Care ปกติให้มันดี การให้ความรู้ด้านสุขภาพคือการทำ Prevention ซึ่งพวกนี้จะลดต้นทุนการรักษาโรคในอนาคตได้เยอะมาก ดีกว่ารอให้เป็นโรคแล้วค่อยรักษาซึ่งค่าใช้จ่ายจะแพงกว่า" นพ.พลวรรธน์ กล่าว

นพ.พลวรรธน์ กล่าวอีกว่า ภาพที่อยากเห็นนำเทคโนโลยีมาช่วยด้านสุขภาพในอนาคต ในมุมของประชาชนแล้วอยากเห็นการที่ประชาชนมี Health Literacy จนถึงขั้นประเมินและจัดการสุขภาพตัวเองได้ เพราะตอนนี้หากพูดถึงคำว่าสุขภาพดี ส่วนใหญ่เป็นฝั่งบุคลากรสุขภาพต้องไปบอกให้ประชาชนมีสุขภาพดี เช่น ต้องไม่อ้วน ต้องมีระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้นเท่านี้ องค์ความรู้เหล่านี้อยู่กับบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งจริง ๆ แล้วประชาชนต้องรู้ว่าทำไมไม่ควรมีน้ำหนักเกิน ทำไมต้องไม่รับประทานหวานมันเค็ม อาการเจ็บป่วยแบบไหนต้องดูแลอย่างไร ทานยาเองหรือต้องไปพบแพทย์ แบบนี้คือ self alignment ที่อยากเห็นเกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งหมายความว่าต้อง Empower ประชาชนให้มีองค์ความรู้เหล่านี้ให้มากขึ้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะที่เป็น Policy Maker กับ Regulator ทางด้านเทคโนโลยี ยินดีสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น Facilitator หรือ Platform ให้ ขอเพียงทาง สธ. เป็นฝ่ายริเริ่มขึ้นมาว่าอยากทำเรื่องใดบ้างเท่านั้น

อนึ่ง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ผู้จัดโครงการประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปีที่ 3 ได้ประกาศราชื่อหน่วยบริการที่ได้รับรางวัลเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2562 โดยมีรางวัลทั้งหมด 123 รางวัล แบ่งเป็นหน่วยบริการสุขภาพที่ได้รับรางวัลดีเด่นระดับประเทศ 10 รางวัล รางวัลดีเด่นระดับจังหวัด 82 รางวัล และรางวัลดาวรุ่ง ซึ่งเป็นรางวัลพิเศษสำหรับหน่วยบริการสุขภาพ และชมรม อสม.ที่สมัครเข้าร่วมประกวดเป็นครั้งแรกและมีผลงานเชิงปริมาณและคุณภาพอยู่ในระดับที่ดีอีก 31 รางวัล

สำหรับรายชื่อหน่วยบริการสุขภาพที่ได้รับรางวัลดีเด่นระดับประเทศ ประกอบด้วย

1. รพ.สต.กุดบง จ.หนองคาย

2. รพ.สต.ขนาย จ.นครราชสีมา

3. รพ.สต.ชุมช้าง จ.หนองคาย

4. รพ.สต.บางทอง จ.พังงา

5. รพ.สต.บ้านคลองบอน จ.จันทบุรี

6. รพ.สต.บ้านคลองม่วง จ.กระบี่

7. รพ.สต.บ้านชัยชนะ จ.สกลนคร

8. รพ.สต.บ้านทองหลาง จ.พังงา

9. รพ.สต.บ้านโปร่งพรหม จ.กาญจนบุรี

10. รพ.สต.บ้านหนองเกาะ จ.บุรีรัมย์

ทั้งนี้ หน่วยบริการที่ได้รับรางวัลดีเด่นระดับจังหวัดและรางวัลดาวรุ่ง สามารถตรวจสอบรายชื่อที่ผ่านการคัดเลือกได้ที่ Facebook อสม.ออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 2562 เป็นต้นไป โดยทางเอไอเอสจะจัดพิธีมอบรางวัลอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 31 ม.ค. 2563 ซึ่งหน่วยบริการที่ได้รับรางวัลดีเด่นระดับประเทศ จะได้รับเงินรางวัลๆ ละ 100,000 บาท รางวัลดีเด่นระดับจังหวัด รางวัลละ 40,000 บาท และรางวัลดาวรุ่ง รางวัลละ 10,000 บาท