ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรณีนพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งโยกย้ายนพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น มาปฏิบัติราชการประจำกระทรวง และตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณีบัตรสนเท่ห์เงินบริจาคบริษัทยา

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2563 เครือข่ายประชาชนอีสานเพื่อความยุติธรรม(คปอธ.) ซึ่งเป็นการรวมตัวของภาคประชาขนหลายองค์กร ประกอบด้วย สมาคมแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) ศิษย์เก่าแพทย์ศาสตร์ มข.รุ่น 11 กลุ่มเพื่อนชาญ องค์กรแพทย์และพยาบาลจากรพ.ขอนแก่น รพ.กาฬสินธุ์และรพ.ต่างๆ รวมทั้งตัวแทนภาคประชาชนจังหวัดขอนแก่น นำโดย พญ.กนกวรรณ ศรีรักษา ในฐานะประธานเครือข่ายฯ ได้นำสมาชิกเครือข่ายฯ กว่า 50 คนได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนการย้าย การสอบวินัยและการตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงต่อนพ.ชาญชัย

หนังสือร้องเรียนของคปอธ.ระบุว่า เนื่องจากรู้สึกไม่สบายใจและไม่มั่นใจกับกระบวนการที่เกิดขึ้น โดยประชาชน-สังคมทั้งที่รู้จักทำงานใกล้ชิดหมอชาญชัยหรือผู้ที่อาจไม่รู้จักเป็นส่วนตัวต่างก็ตั้งคำถามดังกล่าวไม่ต่างกัน นพ.ชาญชัยไม่เพียงแต่เป็นผู้บริหารสูงสุดตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่เกรดเอที่ใครๆ ก็อยากมานั่งบริหาร หากแต่กิจวัตรปฏิบัติที่เกิดมรรคผลอย่างเป็นรูปธรรมในความตั้งใจ มุ่งมั่น ของหมอชาญชัยตลอด 4 ปีที่ได้พัฒนาโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ซึ่งแต่ก่อนมีปัญหามากมายจนปัจจุบันปัญหาเหล่านั้น นอกจากจะถูกแก้ไขคลี่คลายเช่นปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาความไม่โปร่งใส ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร พารากอน นพ.ชาญชัยยังมีแผนงานพัฒนาที่ค้างคาเพื่อยกระดับโรงพยาบาลศูนย์ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อเป้าหมายสำคัญนำไปสู่การสร้างเสริมสุขภาพวะและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

จดหมายเปิดผนึกของคปอธ.ระบุว่า  นพ.ชาญชัยเป็นหมอที่รักของชาวบ้านโดยเฉพาะชาวขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียงอย่างมาก ไม่ว่าจะรับฝีมือความสามารถในการบริหาร ความโปร่งใสใจซื่อมือสะอาด ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล คปอธ.ไม่ได้ต้องการที่จะห้ามผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลหน่วยงานใดแตะต้องนพ.ชาญชัย แต่ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมในกระบวนการที่กำลังจัดการ โดยขอให้ยึดหลักธรรมาภิบาล ใน 2 คือ ให้ความเป็นธรรม นพ.ชาญชัยทบทวนการโยกย้าย การสอบวินัยและการตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรง หรือ หากยืนยันย้ายนพ.ชาญชัยไปปฎิบัติหน้าที่ที่กระทรวงชั่วคราวระหว่างการสอบสวนก็ขอให้รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นเป็นผู้รักษาการผู้อำนวยการแทนเพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของบุคลากรโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นทั้งปวง

ขณะเดียวกัน สมาคมศิษย์เก่าแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเช่นกันโดยระบุว่า สมาคมฯมีความกังขาและตั้งข้อสังเกต ดังนี้

1. กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเริ่มตั้งแต่จดหมายร้องเรียนซึ่งมีผู้ร้องเรียนที่ไม่ประสงค์ออกนามโดยอ้างตัวเป็นบุคลากรโรงพยาบาลขอนแก่นที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว มีลักษณะเป็นบัตรสนเท่ห์ผู้ร้องเรียนไม่ได้ยืนยันตัวตนที่ชัดเจน

2. ในกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงไม่มีการเรียกสอบผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นที่ถูกร้องเรียนคนอื่นๆ เช่น รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารรองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ และหัวหน้าเภสัชกรซึ่งเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่กลับเรียกสอบสวนเฉพาะอดีตหัวหน้าการเงินและเจ้าหน้าที่การเงินบางคนเท่านั้น

3.กระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงในการสอบสวนข้าราชการระดับสูงนั้นจะต้องมีการแต่งตั้งผู้ตรวจราชการแต่ละเขตสุขภาพตามลำดับที่จัดไว้ เพื่อเป็นกรรมการในการสอบซึ่งกรณีของนพ.ชาญชัย  จะต้องเป็นผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 5 แต่จากคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยครั้งนี้กลับเป็นผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 ซึ่งเป็นผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชมรมแพทย์ชนบทและประธานชมรมแพทย์ชนบท (นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ) ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มารักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น แทนนพ.ชาญชัย

4. ข้อกล่าวหาว่านพ.ชาญชัยกระทำผิดวินัยร้ายแรงนั้นเมื่อพิจารณาประเด็นการร้องเรียนและข้อมูลหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงไปแล้ว สมาคมฯมีความกังขาในการตั้งข้อกล่าวหาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตามเอกสารหลักฐานที่ปรากฏต่อสาธารณะบ่งชี้ว่านพ.ชาญชัยไม่ได้ส่อเจตนาทุจริตแต่อย่างใด จากการมีบัญชีกองทุนพัฒนาโรงพยาบาลขอนแก่นก็มีหลักฐานการเดินบัญชีและมีคณะกรรมการรับผิดชอบชัดเจน การสั่งเบิกจ่ายจำเป็นต้องลงนามด้วยคณะกรรมการที่รับผิดชอบ 2 ใน 3 โดยไม่จำเป็นต้องให้นพ.ชาญชัยลงนามด้วยทุกครั้ง

ในการนี้ สมาคมศิษย์เก่าแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงขอเรียกร้องให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นธรรม รอบคอบ และธำรงไว้ซึ่งระบบธรรมาภิบาลของกระทรวงสาธารณสุขให้ปรากฏชัดเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไป

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ซึ่งมารับหนังสือร้องเรียน กล่าวว่า ไม่มีปัญหากับฝ่ายใด จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนจะต้องทำงานร่วมกันหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขรับทราบนโยบายไปแล้ว หากไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง

“รู้สึกน้อยใจ เคยรับปากไปแล้วว่าจะดำเนินการให้ และสั่งการไม่ให้โยกย่าย โอนตำแหน่งเด็ดขาด จนกส่าผลการสอบสวนจะออกมา แต่ผ่านไปไม่กี่วัน คณะแพทย์ก็กลับมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมทนตรี”นายอนุทินกล่าว

ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก : สมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท