ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

จากมติคณะรัฐมนตรี12 เมษายน 2554 ได้เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของสมัชชาสุขภาพให้"สังคมไทยปลอดใยหิน"โดยให้ยกเลิกการใช้สินค้า และการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแร่ใยหินไครโซไทล์ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระเบื้องซีเมนต์ความดันสูง หรือกระเบื้องใยหินเช่นผลิตภัณฑ์กระเบื้องลอนคู่กระเบื้องแผ่นเรียบกระเบื้องวีนิวล์ปูพื้นรวมถึงท่อซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์กันความร้อนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยมานานกว่า50ปีโดยอ้างเหตุผลสำคัญว่าเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งอย่างไรก็ดีล่าสุดมีข้อมูลว่ารัฐบาลได้ยืดระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 3-5 ปี ก่อนที่จะมีการยกเลิกการผลิตและยกเลิกการนำเข้าอย่างถาวรเนื่องจากต้องศึกษาผลกระทบอย่างละเอียดรอบด้าน

ถอดบทเรียนอังกฤษ:เพื่อพิสูจน์ว่าการผลิตและการใช้สินค้าที่มีส่วนผสมของแร่ใยหินไครโซไทล์มีอันตรายจริงหรือไม่ ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายนที่ผ่านมา"ฐานเศรษฐกิจ" เป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญจากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติสหราชอาณาจักร(The National Farmers Union : NFU)เพื่อเยี่ยมชมและพูดคุยกับเกษตรกรและเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการยกเลิกการใช้แร่ใยหินในประเทศอังกฤษ

นายไบรอัน เคเอ็ดจ์ลี่ ประธานสหภาพเกษตรกรบักกิ้งแฮมเชอร์ และมิดเดิลเซ็กซ์ตอนใต้ ให้ข้อมูลว่า แร่ใยหินในโลกแบ่งออกเป็น2กลุ่มกลุ่มแรกคือแร่ใยหินกลุ่มแอมฟิโบลซึ่งเป็นแร่ใยหินที่มีเส้นใยเป็นสีน้ำเงินหรือสีน้ำตาลและกลุ่มที่สองแร่ใยหินกลุ่มไครโซไทล์ซึ่งมีส่วนประกอบทางเคมีที่แตกต่างกัน สำหรับกลุ่มแอมฟิโบลประกอบด้วยเหล็กซิลิเกตที่สามารถสะสมอยู่ในปอดเป็นเวลาหลายปีและก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆเช่นโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด และเยื่อบุช่องท้อง ส่วนกลุ่มไครโซไทล์ มีเส้นใยสีขาวอ่อนนุ่ม ประกอบด้วยแมกนีเซียมซิลิเกต เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสูญสลายจากปอดอย่างรวด เร็วเพราะไม่สามารถต้านทานความเป็นกรดในร่างกายได้

เกษตรผู้ดีกระทบ 3 แสนล้าน

ปัจจุบันในอังกฤษไม่มีเหมืองแร่ใยหินกลุ่มแอมฟิโบลแล้ว หลังจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่2แร่ใยหินในกลุ่มนี้ได้ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตรถถังเนื่องจากคุณสมบัติของแร่ใยหินคือเป็นตัวยึดเกาะทนความร้อน

และมีความแข็งแรงส่งผลให้หลังสงคราม30-40 ปีต่อมา ทหารที่ไปรบได้เสียชีวิตลงจากโรคมะเร็งเป็นจำนวนมากขณะที่แร่ใยหินกลุ่มไครโซไทล์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้ในประเทศไทยปัจจุบันทางสหภาพยุโรป(อียู) ได้ประกาศยกเลิกการใช้เมื่อปี2549

"สมาชิกของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติของอังกฤษที่มีกว่า5หมื่นรายเวลานี้กำลังได้รับผลกระทบมากจากการยกเลิกการใช้แร่ใยหินไครโซไทล์ เพราะกฎหมายบังคับให้เมื่อหลังคากระเบื้องเก่าหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีส่วนผสมของไครโซไทล์ที่ใช้กันมาได้นาน40-50ปีถึงเวลาต้องเปลี่ยนต้องใช้วัสดุอื่นที่ปลอดจากไครโซไทล์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากค่าวัสดุขณะที่กฎหมายควบคุมแร่ใยหินฉบับใหม่บังคับให้การรื้อถอนต้องดำเนินการโดยผู้รับเหมา ทำให้ต้องเสียค่ารื้อถอนเองเสียค่าขนส่งค่ากำจัดขยะที่มีขั้นตอนยุ่งยากซึ่ง

การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ได้กำหนดขึ้นโดยอาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องในครั้งนี้คาดจะก่อให้เกิดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นต่อเกษตรกรของอังกฤษมากถึง6 พันล้านปอนด์(ประมาณ3 แสนล้านบาท)

รู้ตัวเมื่อสาย

อย่างไรก็ตามขณะนี้ทางสหภาพได้ออกมาเคลื่อนไหวกดดันเพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนกฎหมายดังกล่าวแล้วทั้งการจัดสัมมนาการประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกได้รับทราบข้อมูลการดำเนินการทางการเมืองผ่านสมาชิกสภาผู้แทนเพื่ออภิปรายในสภารวมถึงได้นำเรื่องร้องต่อศาลสูงสุด(คล้ายกับศาลปกครองของไทย)แต่ศาลไม่รับฟ้องโดยอ้างว่ากฎหมายบังคับใช้มานานแล้ว ทำไมเพิ่งมาร้อง แสดงว่าที่ผ่านมาให้การยอมรับ

"กฎหมายบังคับใช้เมื่อปี2006 (2549)แต่เกษตรกรเพิกเฉยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวแต่เวลาผ่านไป ผลกระทบยิ่งมากจึงเริ่มต่อสู้มา5-6ปีเพื่อขอให้ทบทวนกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นผลแต่เราก็จะต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มข้นต่อไป ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นเวลานี้อย่างโรงเรือนปศุสัตว์ของผมต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนการเปลี่ยนวัสดุใหม่และค่ากำจัดขยะโรงเรือนเดียวสูงถึง42,000 ปอนด์(2.1ล้านบาทคิดที่50บาท/ปอนด์)"

สอดคล้องกับนางแซลลี สต็อกกิ้งส์ ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรในเขตมิดเดิลเซ็กซ์ ที่เผยว่าโรงเรือนเลี้ยงสุกรของตนใช้กระเบื้องใยหินมานานกว่า40ปีแล้วหากชำรุดเสียหายตามอายุการใช้งานคงต้องเปลี่ยนวัสดุใหม่เชื่อว่าจะเสียค่าใช้จ่ายสูงอย่างแน่นอนขณะที่NFU ระบุว่าในเขตมิดเดิลเซ็กซ์ก่อนหน้านี้มีฟาร์มสุกรกว่า100แห่งขณะนี้เลิกกิจการไปเกือบหมดแล้วส่วนหนึ่งผลจากขาดทุนจากการยกเลิกใช้แร่ใยหินทำให้มีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง

นายกสุกรไทยคำรามต้าน

ด้านนายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ที่ร่วมคณะในครั้งนี้ด้วยกล่าวว่าจากประสบการณ์ของเกษตรกรอังกฤษหากมีการยกเลิกการใช้แร่ใยหินรวมถึงผลิตภัณฑ์จากแร่ใยหินกลุ่มไครโซไทล์ในไทย และต้องใช้วัสดุอื่นทดแทนคาดจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในวงกว้างทั้งภาคเกษตรปศุสัตว์ บ้านเรือนประชาชน หน่วยราชการเอกชนและอื่นๆคิดคร่าวๆเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทจากที่จะต้องปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ทั้งระบบรวมถึงการทำลายเศษซากซึ่งมองว่ารัฐจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย และต้องจัดหาวัสดุที่มีคุณภาพดีไม่น้อยกว่าเดิมหากมีบังคับใช้กฎหมายจริง ที่ผ่านมากว่า 50 ปีไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าหลังคากระเบื้องใยหินหรือท่อน้ำซีเมนต์เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งรวมถึงคนในโรงงานผลิตกระเบื้องมุงหลังคาก็ไม่ปรากฏมีใครป่วยเป็นมะเร็งจากกระเบื้องใยหินดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่จะบังคับใช้กฎหมาย

ผู้ผลิตชี้เกมผลประโยชน์

ขณะที่ผู้ผลิตกระเบื้องใยหินรายใหญ่รายหนึ่งสะท้อนมุมมองว่าหากมีการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน และผลิตภัณฑ์จากแร่ใยหินในไทยผลประโยชน์จะตกกับหลายกลุ่มที่สำคัญคือกลุ่มทนายความที่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกความของตน โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยว่ามีที่มาจากแร่ใยหินอีกต่อไป กลุ่มแพทย์ที่วินิจฉัยโรคเพราะคนไทยส่วนใหญ่สัมผัสกับกระเบื้องใยหินอยู่ทุกวันรวมถึงผู้ผลิตกระเบื้องบางรายที่เวลานี้ได้เริ่มปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารไครโซไทล์แล้วรวมถึงนักการเมืองที่จะเร่งให้มีการตั้งกองทุนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและอาจเป็นช่องโหว่ในการทุจริตได้ ในเรื่องนี้ฝากให้รัฐบาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบต่อไป

ที่มา: นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 30 ก.ย. - 3 ต.ค. 2555