ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯเผยโรงพยาบาลจ่าย'พีฟอร์พี' ยันช่วยให้บุคลากรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเงินเดือนประจำ แต่ตัวชี้วัดต้องชัดเจน ด้าน ผอ.รพร.เชียงของยันข่าวลาออกไม่จริง

เมื่อวันที่ 18 เมษายน ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีบุคลากรสาธารณสุขบางกลุ่มคัดค้านการปรับการจ่ายค่าตอบแทนของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จากเดิมเหมาจ่ายเป็นอิงวิธีคิดแบบผลการปฏิบัติงาน หรือพีฟอร์พี (P4P: Pay for Performance) ว่า โรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช ก็มีการจ่ายแบบพีฟอร์พี โดยอาจารย์แพทย์ มีการกำหนดภาระงานล่วงหน้า ทั้งการเรียนการสอน การบริการ การวิจัย โดยกำหนดตัวชี้วัดที่ต้องทำให้ได้ในแต่ละพันธกิจ เพื่อจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนที่ได้รับปกติ

"วิธีจ่ายแบบพีฟอร์พีจะทำให้บุคลากรได้ค่าตอบแทนเพิ่มจากฐานเงินเดือนที่ข้าราชการทั่วไปได้ต่ำกว่าเอกชน การจะดึงบุคลากรที่มีความรู้ มีความสามารถ และมีประสบการณ์ให้อยู่กับองค์กรเป็นเรื่องยาก จึงเน้นเรื่องใจที่ทำประโยชน์เพื่อสังคมเป็นหลัก" ศ.คลินิก นพ.อุดมกล่าว และว่า การจัดสรรจะพิจารณาตามภาระงานความยากง่ายในแต่ละระดับ เช่น พยาบาลที่ประจำห้องไอซียูต้องดูแลคนไข้ตลอดเวลาจะได้ค่าตอบแทนสูงกว่าพยาบาลทั่วไป รองลงมาพยาบาลห้องผ่าตัด หรือพยาบาลที่ประจำตามหอผู้ป่วยจะแบ่งเป็นเกรดตามการดูแลผู้ป่วยที่ระดับอาการ ในส่วนของ สธ. ที่มีความเห็นไม่ตรงกันนั้น เห็นว่าทุกฝ่ายควรหันมาพูดกันด้วยเหตุผลจะดีกว่า

วันเดียวกัน นพ.สมปรารถน์ หมั่นจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยุพราช (รพร.) เชียงของ จ.เชียงราย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าได้ยื่นใบลาออกจากราชการเนื่องจากคัดค้านพีฟอร์พีว่า  ส่วนตัวยังไม่ได้ลาออกจากราชการ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่มีแพทย์ลาออกจากโรงพยาบาล จำนวน 4 ราย โดย 1 ราย ขอลาออกเพื่อไปศึกษาต่อ อีก 1 ราย ขอย้ายไปทำงานที่ รพ.บ้านแพ้ว เนื่องจากใกล้บ้าน และอีก 2 ราย ขอย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลเอกชน แต่ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ จะมีแพทย์จบใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนอีก 4 ราย

ขณะที่ พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปแห่งประเทศไทย (สพศท.) กล่าวว่า แพทย์ที่ลาออกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแพทย์จบใหม่ ขอลาออกไปศึกษาต่อทางด้านโรคเฉพาะทาง ดังนั้น ประชาชนไม่ควรวิตกกังวลกับเรื่องนี้ แต่ถ้าระดับผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนลาออก ค่อยมาแสดงความวิตกกังวลกับเรื่องนี้

--มติชน ฉบับวันที่ 20 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)--