ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ไทยจับมือ 4 ปท.อาเซียนวิจัย'วัคซีนไข้เลือดออก'พบป้องกันไวรัสเดงกี 4 สายพันธุ์ ถึง 56.5% ลดความรุนแรง 88.5% แพทย์เตือนหญิงมีประจำเดือน-ตั้งครรภ์ระวังป่วย

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ว่า คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ อยู่ระหว่างพิจารณาบรรจุวัคซีนใหม่ที่จำเป็นเพิ่มเติม เพื่อลดการป่วยและเสียชีวิตของคนไทย โดยจัดทำเป็นโครงการระดับชาติ เรียกว่าโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้แก่ 1.การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ป้องกันผู้หญิงป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูก 2.วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก 3.ผลักดันการให้วัคซีนคอตีบและบาดทะยักในผู้ใหญ่ทุก 10 ปี และ 4.ผลักดันให้ใช้วัคซีน อาทิ ไข้หวัดใหญ่ ในกลุ่มผู้ใหญ่และบุคลากรทางการแพทย์ให้มากขึ้น ส่วนวัคซีนไข้เลือดออกนั้น อยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัย ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก

"สำหรับวัคซีนไข้เลือดออกที่ประเทศไทยร่วมวิจัยกับอีก 4 ประเทศ คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย พร้อมทั้งภาคเอกชนนั้น ขณะนี้ให้ผลดีสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันไข้เลือดออกได้ ร้อยละ 56.5 คาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า คนไทยจะมีโอกาสได้ใช้วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก โดยสามารถป้องกันไวรัส เดงกี 4 สายพันธุ์ ที่พบระบาดในประเทศไทยเบื้องต้นอยู่ระหว่างการยื่นเรื่องของขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)" นพ.โสภณกล่าว

ด้าน ศ.พญ.อุษา ทิสยากร นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศของเอเชียที่ประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนไข้เลือดออกต้นแบบ การวิจัยร่วมกันครั้งนี้ ได้มีการตีพิมพ์ความสำเร็จในวารสารแลนด์เซ็ท (Landsat) ที่เป็นวารสารทางการแพทย์ระดับโลก โดยวัคซีนไข้เลือดออกที่มีการวิจัยได้สำเร็จครั้งนี้ พบว่าสามารถป้องกันโรคได้ร้อยละ 56.5 ลดความรุนแรงของโรคได้ร้อยละ 88.5 โดยได้ทดลองในกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุ 2-14 ปี จำนวนกว่า 10,000 ราย โดยการฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน และ 12 เดือน และวัคซีนนี้ป้องกันได้ทั้งเด็งกี สายพันธุ์ 1-4 ทั้งนี้ ในปัจจุบันไข้เลือดออกมีการเปลี่ยนแปลงด้านอายุ โดยผู้ที่มีอายุมากขึ้นก็พบว่าเป็นโรคไข้เลือดออกได้ ดังนั้น ผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นไข้เลือดออกได้ไม่เฉพาะแต่เด็กเท่านั้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีประจำเดือน เพราะหากป่วยเป็นไข้เลือดออกในช่วงมีประจำเดือนจะทำให้มีเลือดออกมากในช่องคลอด ซึ่งเป็นอันตรายมาก รวมถึงหญิงที่ตั้งครรภ์ก็มีอันตรายมากเช่นกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 25 กรกฎาคม 2557