ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“อนุทิน” เผย นำคนไทยกลับบ้านให้อยู่รวมกันที่แห่งเดียว ญาติงดเยี่ยม แต่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารกันได้ ขอไม่เปิดชื่อสถานที่เพื่อความสบายใจทุกฝ่าย ยันไม่มีปล่อยเชื้อหลุดรอด เผยข่าวดี คนไข้ติดไวรัสโคโรนาในไทย หายเพิ่มอีก 4 ราย จ่อให้กลับบ้านเร็วๆ นี้

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 10.30 น. ที่ รพ.ราชวิถี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมาตรวจเยี่ยมผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน โดย นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสสะสม 19 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 8 ราย กำลังจะอนุญาตให้กลับบ้านอีก 4 ราย ส่วนเคสที่ รพ.ราชวิถี ที่แถลงว่าใช้สูตรยา 2 ขนานในการรักษาผู้ป่วยแล้วได้ผลดีฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ซึ่งการรักษานี้ทีมแพทย์ได้ใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการดูแล เมื่อได้ผลจึงทำเป็น Case Report รายงานมาให้ทราบเพื่อให้สถาบันการแพทย์และสถาบันวิจัยได้มีการนำข้อมูลนี้ไปหาข้อเท็จจริงกันต่อ เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรคในภายภาคหน้า

สำหรับเรื่องการเดินทางไปรับคนไทยที่อู่ฮั่นทั้ง 161 คนนั้น คนที่ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่าจะใช้ทีมแพทย์ 2 ทีมซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์ทางด้านฉุกเฉินทางด้านระบาดและจิตแพทย์ โดยมีผู้อำนวยการสถาบันบําราศนราดูร เป็นหัวหน้าทีมนอกจากนี้ยังมีแพทย์ทหาร ร่วมเดินทางไปอีก 2 คน เมื่อทั้งหมดกลับถึงประเทศไทยแล้วจะถูกนำเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังสอบสวนโรคระยะเวลา 14 วันโดยทั้งหมดอยู่รวมกันในพื้นที่ที่ให้เขาสามารถปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ได้เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด เพราะเท่าที่อยู่อู่ฮั่นก็มีความเครียดมากพอแล้ว อย่างไรก็ตามแต่ขอไม่เปิดเผยชื่อสถานที่เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย แต่ยืนยันว่าทีมแพทย์จะให้การดูแลและให้ความมั่นใจว่าจะไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาฯ หรือเชื้อใด ๆ ออกมา แน่นอน สำหรับญาติ ๆ ของผู้ที่จะเดินทางกลับมาทั้ง 161 คนนั้นขอความกรุณางดเยี่ยม แต่เราจะใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารให้ทุกท่านสามารถพูดคุยกันได้

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีมีข้อสังเกตว่าสูตรยายาต้านไวรัสเอชไอวีร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์ ที่แพทย์ รพ.ราชวิถีใช้รักษาผู้ป่วยอาการรุนแรง ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นสูตรยาของจีนที่ใช้อยู่แล้ว และมีการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ในวันที่ 29 ม.ค.ว่า โรคนี้เป็นโรคอุบัติใหม่ที่ยังไม่มีแนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐาน มีเพียงการรายงานเคสที่ให้การรักษาเท่านั้น และทางการจีนรายงานผลการดูแลผู้ป่วย 40 รายแรก ก็มีเพียงการใช้ยาต้านเอชไอวีเท่านั้น ไทยก็ให้ยาต้านด้วย

แต่หลังจากนั้นทีมแพทย์ได้รับการส่งตัวผู้ป่วยอาการรุนแรง เมื่อวันที่ 29 ม.ค. จนถึงขั้นอาจจะเสียชีวิตได้ ทีมแพทย์จึงพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ร่วมกับยาโอเซลทามิเวียร์ เพราะมองว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีจะไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนเซลล์ ส่วนยาโอเซลทามิเวียร์ จะใช้เพื่อยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ ในเวลา 12 ชั่วโมงผู้ป่วยอาการดีขึ้น ภายใน 24 ชั่วโมงผลเอกซเรย์ปอดดีขึ้น และใน 48 ชั่วโมงผลตรวจไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นการให้ยาตามสูตรก่อนที่จะมีการเผยแพร่บทความดังกล่าวในวันที่ 29 ม.ค. แต่เวลาที่อังกฤษช้ากว่าไทยถึง 6 ชั่วโมง ทั้งนี้จีนจะให้ยาสูตรวันละ 1 เม็ด 2 เวลา ส่วนไทยให้ 2 เม็ด 2 เวลา ทั้งนี้ ขณะนี้มีคณะกรรมการพิจารณาจัดทำแนวทางการรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ฯ ซึ่งจะเอารายงานสูตรการรักษาของ รพ.ราชวิถีเข้าไปพิจารณาด้วย

นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช อายุรแพทย์โรคปอด นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ รพ.ราชวิถี กล่าวว่า ขณะนี้คนไข้ที่รับยาอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ ผลตรวจเยื่อบุโพรงจมูกไม่พบเชื้อฯ แล้ว ส่วนอีกรายขณะนี้อาการดีขึ้นมากรอแค่ผลการตรวจยืนยัน 2 รอบ หากไม่พบเชื้อแล้วก็ให้กลับบ้านได้

ด้าน นพ.พจน์ อินทลาภาพร หัวหน้างานโรคติดเชื้อ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ รพ.ราชวิถี กล่าวว่า ขอเตือนประชาชนอย่าไปซื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีมาใช้เอง เพราะเป็นยาอันตรายจะทำให้เสี่ยงเกิดเชื้อดื้อยาได้ รวมถึงยานี้ยังไปส่งผลกระทบกับให้ประสิทธิภาพยาตัวอื่น ๆ ลดลงได้ เช่น ยาลดความดัน ยารักษาโรคหัวใจ ยารักษาไมเกรน ยาลดไขมันในเลือด รวมถึงยารักษาสิว เป็นต้น