ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“ประธานแพทย์ชนบท” เข้าให้ปากคำดีเอสไอ  แจงคำร้องสอบสธ. จัดซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดไม่ชอบ  เผยรองปลัดสธ.หวั่นอนุมัติจัดซื้อส่วนกลางโดยไม่มีกฎหมายรองรับ  เคาะโยนท้องถิ่นจัดซื้อแทน

 เมื่อวันที่ 28 พ.ค. เวลา 14.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอเพื่อเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีที่ยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบโครงการส่งเสริมศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์ที่จำเป็น (เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดแบบพกพา)ของกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 147 ล้านบาท

 นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ ตนจะเข้าให้ถ้อยคำชี้แจงรายละเอียดที่เคยร้องไว้ตามเอกสาร และมอบเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเช่น ผลการจัดซื้อจัดจ้างของ จ.อำนาจเจริญ ที่ได้ผู้ชนะการประมูลแล้ว สำหรับข้อร้องเรียนที่ตนต้องการให้ตรวจสอบมี 2 ประเด็นคือ ความไม่ชอบมาพากลในการสั่งซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด 81,685 เครื่อง เพื่อแจกอสม.ทั่วประเทศ ในราคาเครื่องละ 1,800 บาท ทั้งที่ยังไม่มีกฎหมายรับรองอนุญาตให้อสม.ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยการเจาะเลือดจากปลายนิ้วเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดผู้อื่นได้ และลักษณะการจัดซื้อทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลจะไม่ใช้วิธีการจัดซื้อเครื่องตรวจน้ำตาล แต่ใช้วิธีการซื้อแถบตรวจวัดระดับน้ำตาล โดยบริษัทจะแถมเครื่องตรวจโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งราคาแถบตรวจจะมีราคาเพียงประมาณ 6.50 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่าโรงพยาบาลแระสถานีอนามัยทั่วประเทศไม่ได้ขาดแคลนเครื่องตรวจฯด้วย

 “ ผมมีข้อมูลว่ามีบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญาบางรายขายราคาแถบต่างกันมาก จาก 6 บาท เป็น 11 บาท ซึ่งเป็นการซื้อแพงและเตรียมจัดซื้อแบบกลับไปกลับมา การออกมาเคลื่อนไหวตรวจสอบของแพทย์ชนบทส่งผลให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสะดุดลง ผมจึงนำหลักฐานมายื่นให้ดีเอสไอตรวจสอบว่าเงินทอนในการจัดซื้อตกไปอยู่กับผู้ใด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานการประชุมที่นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข พูดในที่ประชุมว่าอสม.น่าจะมีศักยภาพในการตรวจน้ำตาลในเลือด แต่รองปลัดกระทรวงท่านหนึ่งคัดค้านว่าขัดกฎหมาย แต่ต่อมามีการอนุมัติงบประมาณแล้วเตรียมจัดซื้อล็อตใหญ่จากส่วนกลาง แต่รองปลัดกระทรวงไม่กล้าจัดซื้อ จึงมีการกระจายงบประมาณไปให้จัดซื้อในระดับจังหวัดแทน”

 นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบขณะนี้พบว่ามีกว่า 10 จังหวัดที่ทำการจัดซื้อจัดจ้างเสร็จสิ้น จึงมองว่าการกระทำผิดสำเร็จแล้ว อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดีเอสไอจะสอบสวนเรื่องดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งสอบสวนความผิดขององค์การเภสัชกรรม(อภ.) กรณีจัดซื้อวัตถุดิบพาราเซตามอลและการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หากเทียบกับเรื่องร้องเรียนครั้งนี้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอก็ยอมรับกับตนว่าน่าจะสอบสวนง่ายกว่า เพราะข้อเท็จจริงไม่ซับซ้อน มีเอกสาร คำสั่งต่าง ๆ ตรวจสอบได้ชัดเจนโดยเฉพาะการอนุมัติจัดซื้อก่อนแก้กฎหมาย

 ที่มา: http://www.dailynews.co.th/crime/207675