ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการเปิดประชุมสุดยอดผู้ร่วมพัฒนาวัคซีนป้องกันเอดส์นานาชาติเพื่อคนไทยไร้เอดส์ ว่า การพัฒนาวัคซีนป้องกันเอดส์เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ได้ โครงการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนเอดส์ทดลองในมนุษย์ ระยะที่ 3 หรืออาร์วี 144 (RV144) ซึ่งเป็นการทดลองทางคลินิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ จ.ชลบุรีและ จ.ระยอง ระหว่างปี 2542-2546 โดยศึกษาในอาสาสมัครผู้ใหญ่ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 16,000 คน ใช้วัคซีน 2 ชนิดร่วมกันแบบปูพื้น-กระตุ้น คือ วัคซีนแอลแวคเอชไอวี เพื่อปูพื้น และวัคซีนเอดส์แวกซ์บี/อี เพื่อกระตุ้น ผลสรุปเมื่อปี 2552 พบว่าวัคซีนดังกล่าวมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ สามารถลดโอกาสเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีได้ถึงร้อยละ 31.2  มีแนวโน้มให้ผลสูงสุดในระยะต้นหลังทดสอบใน 12 เดือนแรกที่ร้อยละ 60 และในปี 2555 นักวิจัยได้ปรับปรุงออกแบบโปรตีนที่ผิวเปลือกนอกของไวรัสในวัคซีนปูพื้น เพื่อเพิ่มระดับและสารเพิ่มประสิทธิภาพยืดระยะเวลาภูมิคุ้มกันที่พบในอาร์วี 144 และศึกษาทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าสามารถเพิ่มภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ดีขึ้น และหากการทดลองขั้นต่อไปพบว่าวัคซีนสามารถลดการเสี่ยงการติดเชื้อได้มากกว่าร้อยละ 50 ก็น่าจะเป็นความหวังที่จะมีการผลิตวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ชนิดแรกใช้ในโลก

"การประชุมในครั้งนี้จึงเป็นการเติมพลังให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการเดินหน้าทำการศึกษาต่อ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของรัฐบาลไทย สหรัฐอเมริกา องค์การอนามัยโลก และเอ็นจีโอด้านเอดส์ โดยในส่วนของรัฐบาลไทยยืนยันว่าจะสนับสนุนการวิจัยนี้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ" รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าว

ที่มา --มติชน ฉบับวันที่ 31 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)--